เตรียมตัวก่อนฮันนีมูน ทำไมต้องไปปาย – เชียงใหม่?
แรกเริ่มเดิมที หลายปีมาแล้ว ผมไม่เคยคิดเลยว่าหลังแต่งงาน
ผมจะฮันนีมูนในประเทศ เนื่องจากเป็นคนชอบทะเลมากที่สุด แน่นอน
ว่าปลายทางของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของผม
ย่อมหนีไม่พ้นเกาะสวาทหาดสวรรค์อย่าง
“หมู่เกาะมัลดีฟส์”

แต่เมื่อต้นทุนของน้ำผึ้งพระจันทร์มันช่างสูงในระดับเงินดาวน์เกือบ 30%
ของ Nissan March รุ่น VL ที่ผมขับอยู่ ผมก็คงต้องหยุดความฝัน
และหันมามองความจริงเสียดีกว่า……
———————
จนเมื่อจบงานแต่งงานของผมเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา
ผมก็ได้รับของขวัญวันแต่งงานสุดพิเศษจากพี่สาวและพี่เขย
เป็นที่ซุกหัวนอนในยามดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ฟรี
โดยจุดหมายปลายทางมีให้เลือกหลากหลาย แต่สุดท้ายผมตัดสินใจไปพักที่เชียงใหม่ ด้วยเหตุผลของจำนวนวันและระดับห้องพักที่เหมาะสม
ซึ่งผมคิดเอาเองว่า ช่วงนี้ยังเป็นช่วงปลายหนาว ซึ่งการไปเที่ยวภาคเหนือ
อาจจะมีไอกรุ่นของความเย็นอยู่บ้าง
และน่าจะเพิ่มความโรแมนติคให้คู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างผมและภรรยาได้อย่าง
ดี……..
———————-
ผมจองห้องพักกับทางโรงแรมใจกลางเมืองเชียงใหม่ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม ซึ่งรวมระยะเวลา 5 วัน 4 คืนนั่นเอง
และในเมื่อไปไกลถึงภาคเหนือ ผมก็ไม่พลาดที่จะคิดถึง
“อำเภอปาย” ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของชาวไทยไปเรียบร้อยแล้ว
โดยคำนิยามของอำเภอปายที่ผมได้รับการตอกย้ำมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือ
“เมืองแห่งความโรแมนติค”
แม้ช่วงหลัง ผมจะได้ยินเสียงบ่นจากหลายคนว่า
“ปายหมดเสน่ห์” บ้าง
“ปายหมดความขลัง” บ้าง แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบพิสูจน์อะไรด้วยตัวเอง ถึงจะเชื่อ ผมก็เลยคิดว่า ผมควรจะเพิ่มทริป
“ปาย”เข้าไปในโปรแกรมดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ด้วยน่าจะดีกว่า
แม้ช่วงเวลานี้จะใกล้หมด High Season หรือฤดูการท่องเที่ยวเมืองเหนือ
(เพราะใกล้จะหมดหนาว) แล้วก็ตาม ผมกลับมองว่าดีซะอีก
เพราะคนจะได้ไม่พลุกพล่าน รถราจะได้ไม่วุ่นวาย
เพราะบางทีการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ น่าจะเหมาะกับความ “สงบ” และ”ส่วนตัว” มากกว่า จริงไหมครับ?
——————-
เมื่อมีแผนจะไปปาย ผมยิ่งตื่นเต้น เพราะผมจะได้พิสูจน์สมรรถนะของน้อง
March เสียที ว่ามันดีจริงหรือไม่? วิ่งขึ้นเขาได้จริงหรือเปล่า?
เพราะการที่ผมนั่งตอบกระทู้ชาวบ้านว่า มันวิ่งได้สบาย ๆ ทั้ง ๆ
ที่ตัวเองไม่เคยขับไปไหนไกลกว่ากรุงเทพ มันก็ใช่ที่
อีแบบนี้จะต่างอะไรกับชาวบ้านที่บอกว่า
“มาร์ชวิ่งได้แค่ 120 ก็สั่นแล้ว” โดยไม่เคยมาขับมาร์ชเลยแม้แต่เมตรเดียว!!
หลังจากปรึกษากับภรรยาแล้ว ผมตัดสินใจบรรจุโปรแกรมไป
“ปาย” ไว้ก่อนเชียงใหม่ แม้จะแอบใจสั่นเล็กน้อยที่รู้ว่า ถ้าเลือกที่จะไป
“ปาย”หลังเชียงใหม่ คงประหยัดราคาที่พักไปกว่าครึ่ง!!
โดยผมเลือกที่จะไปอยู่ปายถึง 4 วัน 3 คืน รวมระยะเวลาสำหรับทริปนี้ทั้งหมดคือ 8 วัน 7 คืนนั่นเอง…..
———————-
เช็ครถก่อนเดินทาง
ก่อนที่จะเดินทางไกล ผมไม่พลาดที่ตรวจเช็คความสมบูรณ์ของน้อง March ก่อน ว่าพร้อมพาเรา 2 คนไปฮันนีมูนแค่ไหน
แต่ผมไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยครับ เพราะก่อนจะเดินทาง 1 วัน น้องมาร์ชของผมก็เตือนให้เข้าเช็คระยะ 20,000 กิโลอยู่แล้ว

ช่างที่ศูนย์นิสสันใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมงในการตรวจเช็คให้แน่ใจว่า March ของผมพร้อมเดินทางไกลแล้ว
ผมจึงนำรถไปเติมน้ำมันเต็มถัง
ก่อนจะขับรถกลับมาจอดพักที่บ้านย่านรามคำแหง
และทยอยจัดสัมภาระขึ้นรถเพื่อออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้ามืด..
หมายเหตุ : ดูรีวิวการจับ March เช็คระยะของผมได้ที่
รีวิว Nissan March VL CVT by Biere ภาค 5 ตอน “จับ March เช็คระยะ 20,000 กิโล”
——————–
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011
หลังจากอาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ผมลงมาที่รถ เพื่อเตรียมตัวเดินทาง โดยปล่อยให้ภรรยาแต่งตัวสวยอยู่ด้านบน
เริ่มด้วยการตั้งค่าไมล์ เพื่อบันทึกการเดินทางก่อนเป็นอันดับแรก
ว้าวววว เลขสวยมากเลย

นี่ไม่ได้จัดฉากเลยนะครับเนี่ย เลขเรียงกันสวยงามเลยทีเดียว
ตั้งแต่ไมล์ก่อนเดินทางคือ 22,233 กิโล แถมเวลาในขณะที่บันทึกภาพ
ยังเป็นช่วง ตี 4.56 นาทีอีก
เลยเรียงกันสวยซะงั้น 22233456 อิอิ
ผมกดไมล์มาที่ทริป A และกดค้าง เพื่อตั้งค่าให้เป็น 0
ซึ่งแน่นอน ผมตั้งที่ทริป B ด้วย เพื่อใช้ในการจับไมล์ในครั้งนี้
เสร็จแล้ว เข้ามาที่จออัจฉริยะ ในส่วนค่าเฉลี่ย เพื่อตั้งค่าให้เป็น 0 เช่นกัน
ถัดมา ตั้งค่าเวลาในการขับรถเป็น 0 เพื่อจับเวลาดูว่า ผมใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
เปิดฝากระโปรงหลังใส่สัมภาระ
น้อยมาก สู้ทริปไปหัวหินวันเดียวไม่ได้
เบาะหลังวางเสบียงของกิน และแขวนเสื้อ โดยฝั่งซ้ายเป็นของภรรยา ฝั่งขวาเป็นของผม
ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า เสื้อผ้าใครเยอะกว่า
แต่การแขวนแบบนี้ดูเกะกะสายตาและบดบังทัศนวิสัยด้านหลังมากมาย จึงจัดใหม่ไปอยู่ข้างเดียวกัน
ผลออกมา สามารถนั่งไปได้อีกคนเลยนะเนี่ย ค่อยโล่งหน่อย อิอิ
ทีนี้เปิดแผนที่ดูจุดหมายกันก่อน ซึ่งเลข 33 คือ จุดหมายที่ผมจะเดินทางไปในวันนี้ โดยจะขับรถรวดเดียว กรุงเทพ – ปาย
แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยไปปาย รวมถึงใน GPS
ก็ไม่มีข้อมูลของโรงแรมที่ผมจะไป ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเทียบจากแผนที่
แล้วจิ้มจุดหมายเอาแบบนี้
หลังจาก GPS คำนวณจุดหมายปลายทาง ผลออกมาคือ
ระยะทาง 822 กิโลเมตร กับเวลาที่น่าจะใช้คือ 14 ชั่วโมง!!! แม่จ้าวววว
ผมคิดผิดไหมครับเนี่ย ที่จะขับมาร์ช อีโคคาร์คันจิ๋วรวดเดียวไปที่ปาย!!
เพราะถ้าคิดง่าย ๆ ผมจะไปถึงปายเกือบ 2 ทุ่ม ถ้าออกจากบ้านตอนนี้!!
ด้วยเหตุนี้ ผมจีบรีบวิ่งไปตามภรรยาสาวคนสวยให้ออกจากบ้านทันที!!
———————–
ซึ่งผมเข้าเกียร์ D พาน้อง March เคลื่อนตัวออกจากบ้านในเวลาตี 5 ครึ่งพอดิบพอดี ไม่มีผิดเพี้ยน…
ก่อนที่จะใช้เส้นทางวงแหวนรอบนอกมุ่งหน้าสู่จังหวัดอยุธยา ซึ่งในเช้าตรู่วันทำงานแบบนี้ รถมีให้เห็นค่อนข้างบางตาครับ
ขับไปได้ไม่นาน ฟ้าก็เริ่มสว่างสดใส เหมือนหัวใจของเรา 2 คนครับ
แผนการเดินทางของผมคือ
1. ไม่เน้นประหยัด เน้นสมรรถนะ ผมไม่สนใจ 20 กิโล/ลิตร
แต่ผมสนใจเพียง ความสนุกสนานในการขับขี่เท่านั้น
ไม่อยากมาเกร็งเท้ารักษารอบเครื่อง แต่อยากกดก็กด อยากผ่อนก็ผ่อน
2. ผมไม่เคยขับรถไปภาคเหนือเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น
ผมจะไม่แวะพักที่ไหนนาน
เพราะไม่ต้องการไปขับรถขึ้นเขา-ลงเขาในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเสี่ยงเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงต้องทำเวลา ในช่วงที่ถนนโล่ง ดังนั้น ในขณะที่วิ่งบนถนนวงแหวน ความเร็วของน้องมาร์ชจะอยู่ใน
ช่วง 140 – 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ
—————————–
ขับมาเพียงชั่วโมงเดียว ผมก็แวะที่ PTT สิงห์บุรี เพื่อจัดกาแฟเย็น 2 แก้วให้เรา 2 คน
ซึ่งแน่นอน วันนี้ไม่มีการนั่งจิบกาแฟชิลล์ ๆ
เพราะจุดหมายปลายทางยังอีกยาวไกลนัก ดังนั้น เมื่อได้กาแฟคาปูชิโน่เย็น
และลาเต้ปั่นจากร้านอเมซอนแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อทันที
———————–
ขับมาได้ 2 ชั่วโมงเต็ม หน้าจออัจฉริยะก็แจ้งเตือนให้พักทานกาแฟครับ ซึ่งดูจากหน้าจอแล้ว ก็พบว่าเราวิ่งมาได้ 350 กิโลเมตรพอดิบพอดี
ผมจึงแวะจอดที่ PTT จังหวัดกำแพงเพชร หาอะไรลงท้องสักหน่อย
เดินลงมาดูสภาพรถด้านหน้า ก็พบว่าเราเป็นฆาตกรไปเสียแล้ว
แต่ด้วยแผนการเดินทางที่เร่งรีบ เราจึงสอยมาเพียงไส้กรอก 7-11 และขนมนมเนย ก่อนจะเดินทางต่อทันที…..
———————-
ขับ ๆ ไปตามเส้นกำแพงเพชร – ตาก ผมเห็นต้นนี้บ่อยมาก ใครทราบไหมครับว่าต้นอะไร เพราะดอกสีส้มมันถูกใจผมยิ่งนัก
ลองคิดดูสิ ถ้ามันเรียงรายไปตลอดทาง ถนนเส้นนี้คงจะสวยน่าดู
ชมเชยความงามของต้นไม้ได้ไม่นาน หน้าจอ GPS ก็ระบุจุดหมายปลายทางต่อไป ซึ่งมันเป็นวังที่ไม่เหมาะกับคู่ฮันนีมูนเลย ให้ตายสิ!
ผมขับได้อีก 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึงอำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง แม้น้ำมันยังไม่หมด แต่เห็นปั๊มก็รีบเติมซะให้เต็มถัง เพื่อความปลอดภัย
ข้อมูลการเติมน้ำมัน
- ปั๊ม Esso
- ระยะทางที่วิ่งมาทั้งหมด = 456.4 กิโลเมตร
- น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ราคาลิตรละ 36.34 บาท
- จ่ายค่าน้ำมันไป 1,100 บาทถ้วน
- เท่ากับเติมน้ำมันกลับจนเต็มถัง 30.27 ลิตร
- หน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลือง 15.6 กิโลเมตร/ลิตร
- หน้าจอของ March แสดงความเร็วเฉลี่ย 97 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
- คำนวณจริงได้อัตราสิ้นเปลือง 15.08 กิโลเมตร/ลิตร
(เอาจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งได้จริงตั้ง แล้วหารด้วยจำนวนลิตรที่เติมกลับ หรือ 456.4 / 30.27)
เมื่อเติมน้ำมันเสร็จ ผมปล่อย Trip A เอาไว้เช่นเดิม
เพราะต้องการจับระยะทางทั้งหมดของทริปนี้ และนำ Trip B มา Reset ใหม่
เพื่อจับระยะทางของน้ำมันที่เพิ่งเติมว่าจะวิ่งได้กี่กิโล
——————————
ผมขับรถอย่างมีความสุข พร้อมฮัมเพลงที่เปิดในรถไปด้วย
“แค่เธอก็พอ ฉันจะไม่ขอมากกว่านี้…
แค่เธอก็พอ ฉันจะไม่ขออะไรอีก
แค่เธอก็พอ ชีวิตฉันเพียงพอแล้วกับ…คนนี้”
ผมหันไปมองหน้าภรรยาคนสวยแวบนึง ผมมีความสุขเสมอที่เธออยู่ข้าง ๆ
ผมย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อ 8 ปีก่อน การมาเที่ยวด้วยกันแบบนี้
เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
เพราะเราสองคนเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบหัวโบราณตามคำสั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่
จนเมื่อได้แต่งงานแล้วนี่ละ ความฝันก็กลายเป็นความจริง…..ในที่สุด
—————————-
ผมมองป้ายบอกทางเห็นคำว่า
“อ.เถิน 20” ก็นึกถึงคำเตือนของเพื่อนสมาชิกชาวเชียงใหม่ และน้องชายว่า ให้ระวังเส้นทางที่อำเภอเถินให้ดี เพราะมันมีของ!!!
แน่นอน เราสองคนค่อนข้างตื่นเต้น เมื่อพบระยะกิโลเมตรที่เหลือใกล้อำเภอเถินเข้ามาเรื่อย ๆ
และแล้วก็ถึงบางอ้อ เมื่อเราสองคนเห็นสภาพถนนฝั่งตรงข้ามที่บอกได้เลยว่า
“นี่มันดาวอังคารชัด ๆ”
โชคดีที่ขาขึ้น ถนนได้ถูกราดยางเรียบร้อยแล้ว และกรมทางหลวงก็แก้ปัญหาด้วยการให้รถขาลงมาวิ่งสวนทางบนถนนฝั่งเดียวกันแทน
ก็เลยไม่น่ากลัวอย่างที่คิดครับ
—————————–
เที่ยงครึ่ง ท้องเริ่มร้อง
ของใหม่ก็อยากเอาเข้า ของเก่าก็อยากเอาออก
จนเมื่อเราสองคนเห็นศูนย์บริการทางหลวงขุนตาล จึงรีบแวะ
เพื่อหวังฝากท้องทันที
ซึ่งก็มีเพื่อนร่วมทางมาแวะเวียนอยู่บ้าง
แต่สักพักเค้าก็หายไป
ทิ้งเราไว้ให้เหงา..แต่ไม่เดียวดาย
เมื่อเข้าไปดูในส่วน Food Center แล้ว ค่อนข้างผิดหวัง
อาจจะเพราะเป็นวันธรรมดาซึ่งคนค่อนข้างน้อย
เราสองคนจึงตัดสินใจอุดหนุนเครื่องดื่มในมินิมาร์ทมาแทน
โดยตั้งความหวังไปฝากท้องเอาดาบหน้า….
หลังพ้นศูนย์บริการทางหลวงขุนตาล ผมก็ลืมความหิวไปเสียหมดสิ้น
เมื่อพบเส้นทางขึ้น-ลงเขา และโค้งที่สวยงาม ผมเริ่มสนุกกับการขับขี่น้อง
March ขึ้นเรื่อย ๆ
และยิ่งเมื่อมี VW Golf GTi ขับตามหลังมาด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งสนุกกับการขับ March ฉีกหนีเจ้า Golf คันแรงมากขึ้นอีก
แต่สนุกได้สัก 15 นาที อยู่ ๆ
ภรรยาผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายที่มาทำงานแถวภาคเหนือว่า
ให้ระวังด่านตำรวจแถวลำปาง-ลำพูน โดยเฉพาะเวลาลงเขา และเมื่อดูจากหน้าจอ
GPS ก็พบว่า พิกัดเราก็อยู่ในบริเวณนี้ ผมก็ตบ March ชิดซ้าย
ปล่อยไหลไปด้วยอารมณ์ชิลล์ ๆ
————————–
1 ชั่วโมงถัดมา เรา 2 คนก็มาถึงอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยความรู้สึกที่ว่า “ถึงเร็วดีแฮะ”
แวะปั๊ม PTT สารภีสักหน่อย
หลังจากดูลาดเลาแล้ว ว่ายังไม่มีของกินที่ถูกใจ เราสองคนก็เลยเดินเข้า Amazon เพื่อสอยเครื่องดื่มตามเคย
เท่าที่เคยแวะ Amazon มา ผมว่าสาขานี้สวยที่สุดแล้วละ เพราะนอกจากจะมีน้ำตกอยู่ข้าง ๆ แล้ว ลองดูทางเดินขึ้นร้านสิครับ
และแล้วเราสองคนก็เข้าบริเวณอำเภอเมืองเชียงใหม่ จุดหมายปลายทางที่ 2 หลังกลับจากปาย ซึ่งเราก็ได้แต่พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวกลับมาหานะจ๊ะ”
ก่อนจะขับรถไปทางอำเภอแม่ริมตามที่เจ้า GPS
สั่ง ระหว่างนี้เราเริ่มชลอรถช้า ๆ เลือกร้านไปตามทางเรื่อย ๆ จนในที่สุด
เราก็มาหยุดตรงนี้ที่เธอ
โดยภรรยาผมเลือก“ข้าวซอย” อาหารขึ้นชื่อของชาวเหนือมารองท้อง
ส่วนผมเลือก”ข้าวหมูกระเทียมพริกไทย” ซึ่งธรรมดาเกินไปที่จะถ่ายภาพ เลยเอาภาพ”น้ำลำใย” มาฝากแทน”
ทานเสร็จบอกได้เลยว่า “ไม่ผ่าน” ครับ
————————–
นาฬิกาบอกเวลา 14.35 ผมจอดแวะซื้อของที่ 7-11 แม่ริม เพราะรู้ว่า อีกไม่นาน เราจะต้องเผชิญเส้นทางสู่อำเภอปายแล้ว
ซึ่งข้อมูลที่ได้รับจากหนังสือท่องเที่ยวปายคือ “ระยะทางแค่ 100 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง”
และใน GPS ของผมก็แสดงค่าที่ไม่ต่างกัน!!
ดังนั้น จึงต้องตุนเสบียง “เผื่อหิว” นั่นเอง
————————-
เมื่อเห็นป้ายบอกทางไป “ปาย” ให้เลี้ยวซ้าย ผมก็รู้ว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่แท้จริงแล้ว
เส้นทางในระยะแรก ค่อนข้างเรียบง่าย ขึ้น-ลงเขาบ้าง แต่ไม่ชัน มีโค้งให้สาดกันพอประมาณ
ผมหลุดปากบอกภรรยาว่า “ถ้าเส้นทางเป็นแบบนี้ ก็สบาย ๆ”
แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ผมก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของถนน
ทางเริ่มคดเคี้ยวและมีองศาความชันมากขึ้น ภรรยาผมหัวเราะ ก่อนจะบอกผมว่า “นี่ไง เจอของจริงเข้าให้แล้ว”
รถที่ขับไปปายแทบจะไม่มี ส่วนใหญ่มีแต่สวนลงมา ไม่เว้นแม้กระทั่งมอไซค์วิบาก
ถนนเริ่มชันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทัศนียภาพบ่งบอกชัดเจนว่า เรากำลังอยู่ในหุบเขานั่นเอง
ผมใช้เกียร์ D ตลอดการเดินทาง เมื่อเห็นทางชัน
ผมกดคันเร่งให้สุดตามเทคนิคคุณอนุชา ก็พบว่า มาร์ชปีนเขามาได้สบาย ๆ
ไร้กังวล เมื่อเจอทางลงเขา เราก็เหยียบเบรคชลอ
แต่ในเมื่อนิสสันแนะนำมาว่า เวลาลงเขายาว ๆ ให้เข้า Mode Sport
ผมก็ทดสอบทันที ด้วยการกดปุ่ม Sport โดยไม่เหยียบเบรค ก็พบว่า รถมีอาการชลอ
หรือหน่วง
ซึ่งมันก็คือ Engine Brake อย่างเห็นได้ชัด
เท่าที่ผมทดสอบขับลงเขาได้สักพัก ผมคิดว่า ใช้ Mode Sport
เวลาลงเขาสลับกับการเบรคยาว ๆ ก็น่าจะดีกับระบบเบรคของเรา
เพื่อรักษาเบรคไม่ให้ร้อนเกินไป จากการแช่เบรคยาว ๆ
ส่วนเวลาขึ้นเขาชัน ๆ ถ้าไม่ใช่ทางตรงที่สามารถกดซิ่งแซงรถคันหน้าแบบยาว
ๆ แต่เป็นทางชัน ๆ ผมคิดว่าใช้เกียร์ D เหยียบคันเร่งมิด
ก็เพียงพอที่จะพาน้องมาร์ชไต่เขาได้อย่างสบาย ๆ แล้วครับ
เพียงแต่ต้องทนเห็นอัตราสิ้นเปลืองที่โหดร้ายระดับ 5 กิโล/ลิตรเท่านั้นเอง
————————-
ขณะกำลังขับขึ้นเขาเพลิน ๆ อยู่ ๆ สายตาผม
ก็เหลือบไปเห็นป้ายหลักกิโลอันนึงข้างทาง ผมจึงเหยียบเบรคกะทันหัน
แล้วหักรถเข้าข้างทางทันที
ทำไงได้ ก็เจอเลขโปรดนี่ “ปายยยยยย 69”
——————————
ถ่ายรูปเสร็จ รีบออกเดินทางต่อ แต่เมื่อขับไปได้สักพัก
ผมก็ถูกกดดันจากอาการปวดปัสสาวะ ที่เข้ามารบกวนพอดิบพอดี และอย่างที่รู้ว่า
กำลังอยู่ในหุบเขา ซึ่งไม่เห็นจะมีที่ให้ปลดปล่อยแต่อย่างใด
นอกจากริมทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้
ด้วยความที่ไม่ชอบยืนยิงกระต่ายข้างทาง ผมตัดสินใจอั้นต่อไป
และขับด้วยใจจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะเจอจุดพักที่มีห้องน้ำ
และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้าง เมื่อผมมาพบสถานที่อันสวยงามอันมีนามว่า Le
Vintage
ด้วยความปวดฉี่ ผมจึงรีบจ้ำเข้าไปหาห้องน้ำ และขอใช้บริการทันที!!
——————–
เมื่อออกจากห้องน้ำ ผมก็ได้มีเวลามองสถานที่นี้เต็ม ๆ ตา
โดยรวมยังมีการก่อสร้างอยู่ เหมือนยังไม่เสร็จดี
แต่มีร้านกาแฟตรงหัวมุมที่เปิดขายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการตกแต่งก็ออกแนว
vintage สมชื่อนั่นแหล่ะครับ และเนื่องจากกาแฟที่ยังมีอยู่ในรถ
เราสองคนจึงไม่ได้อุดหนุนกาแฟร้านนี้ แต่เดินมาถ่ายรูปที่รถแทน
ผมมายืนด้านหลัง
ส่วนภรรยามายืนถ่ายด้านหน้า
————————
หลังจากนั้น เราก็ออกเดินทางต่อ ซึ่งเส้นทางก็เริ่มโหดขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
ลองดูภาพจาก GPS ก็ได้ นี่แบบเบาะ ๆ (เห็นโค้ง ๆ ไม่ใช่มีแต่โค้งนะครับ
ขึ้น-ลงเขาพร้อมโค้งด้วย)
ส่วนอันนี้ยากขึ้น
แต่อันนี้สิ สุด ๆ ดูภาพแล้วจินตนาการเอานะครับ สำหรับคนที่ไม่เคยไป
มันทั้งขึ้น – ลงเขา พร้อมโค้งหักศอก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมคนนั่งรถไปปาย ถึง
“อ้วก” กันเป็นแถว
ขณะกำลังชิลล์ ๆ ไต่เขา อยู่ ๆ ก็มี Honda
Jazz สีชมพู ทะเบียนขอนแก่นมาจ่อท้าย ซึ่งจริง ๆ เราก็เจอกันก่อนหน้านี้ที่
Le Vintage เป็นวัยรุ่น 2 คู่ ชาย – หญิง มาเที่ยวปายเหมือนเรานั่นแหล่ะ
ก่อนหน้านี้ด้วยความไม่ชำนาญเส้นทาง
ผมก็จะชิดซ้ายหลบให้รถกระบะเจ้าพลังที่ตามมาทุกคัน ตามมารยาท แต่เมื่อ
Honda Jazz มาจ่อตูด ผมเกิดนึกสนุก เลยตัดสินใจลองขับหนีดูสักหน่อย
คิดว่าถ้าหนีไม่ออก เค้ายังจ่อตูดได้ ก็จะชิดซ้ายให้เค้าไป
ผมเริ่มเร่งความเร็วขึ้น
ผมไม่แน่ใจว่าเร็วขนาดไหน แต่รู้ว่าเร็วมากกว่าเดิมเยอะ
แต่แทนที่เส้นทางจะง่าย มันก็กลับยากขึ้น ผมเข้าโค้งชัน ๆ เข้าซ้าย ป่ายขวา
เข้าซ้าย ป่ายขวาจนน่าเวียนหัว Jazz ยังตามมา แต่ในระยะที่ห่างออกไป…
แม้จะยังไม่ถึงปลายทาง แต่เชื่อไหมครับ
ผมคิดว่า การที่ผมลงล้อ Mag + ใส่ยางใหม่ที่หน้ากว้างกว่าเดิม
รวมถึงสปริงโหลด มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม March ผมเข้าโค้งซ้าย-ขวา
อย่างสบาย ๆ ไม่มีอาการโยน รถเกาะถนนหนึบแน่น ยิ่งขับเร็ว
อาการกระด้างที่เคยมีในช่วงความเร็วต่ำก็แทบไม่รู้สึก
ผมสนุกสนานกับการเข้าโค้ง ประหนึ่งขับ AE86 ส่งเต้าหู้ในเรื่อง Initial D อย่างไรอย่างนั้นเลย
แต่ถ้าถามความรู้สึกว่า ถ้าผมยังขับ March
เดิม ๆ จากโรงงาน ใส่ล้อ Mag ขนาด 15 นิ้วของรุ่น VL มา ผมคิดว่า
ผมคงไม่สามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วขนาดนั้นแน่นอนครับ
เพราะความที่รถสูงและหน้ายางแคบ
คงไม่อาจรองรับความสนุกเฉกเช่นที่ผมทำอยู่ในขณะนี้ได้เลย…..
———————–
แต่การสนุกครั้งนี้แน่นอน ว่ายังมีสติ ผมควบคุมรถอย่างระมัดระวัง
ส่วนภรรยาผมก็คอยดูเส้นทางโค้งผ่านหน้าจอ GPS ล่วงหน้า และคอยเตือนผม
เมื่อใกล้จะถึงโค้งต่อ ๆ ไป
ซึ่งตรงนี้เองที่ GPS มีประโยชน์มากกว่าการบอกทางไปครับ มันยังทำให้เรารู้ถึงเส้นทางล่วงหน้า และเตรียมรับมือได้อย่างสบาย ๆ
จนสักพัก ผมก็เห็นสะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย ก็รู้แล้วว่ามาถึง
“ปาย”สัก
ที แม้สะพานนี้จะตั้งอยู่ที่หลักกิโล 88 ก็ตาม ซึ่งอีก 10 กิโลนิด ๆ ก็สบาย
ๆ แล้วละครับ เพราะความรู้สึกเหมือนพ้นเส้นทางลงเขาชัน ๆ มาเรียบร้อยแล้ว
โดยที่ Honda Jazz คันนั้นไม่สามารถตามผมได้ทันครับ
————————
ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ รอยยิ้มของเรา 2 คนทันทีที่รู้ว่ามาถึงปาย เพราะนอกจากเราจะมาถึงเร็วกว่าที่คาดแล้ว เรา 2 คนยังไม่มีอาการ
“อ้วก” หรือ
”เมารถ” อย่างที่ใคร ๆ เค้าเป็นกัน แถมผมยังไม่มีอาการล้า หรือเหนื่อย หรือเมื่อยจากการขับรถนาน ๆ แต่อย่างใด
จนอดคิดไม่ได้ว่า เบาะผ้าเดิม ๆ ของน้อง March ก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่ใช่น้อย
แบบนี้จะชมประสิทธิภาพของน้อง March ก็คงไม่ผิดใช่ไหมครับ
———————–
และแล้วผมก็เข้ามาถึงในตัวเมืองปายเสียที และหลังจากขับผ่านถนนคนเดินมาได้เกือบกิโล ผมก็มาถึงที่พักสำหรับคืนนี้
เมื่อจอดรถเสร็จ ผมรีบกดดูสถิติบนหน้าจอน้อง March ทันที
หน้าจอนี้บอกว่า
- ระยะทางที่ยังวิ่งได้เหลืออีก 226 กิโลเมตร (โดยประมาณ)
- ทริป A คือ ระยะทางทั้งหมดจาก
บ้านมาถึงปาย เท่ากับ 820.3 กิโลเมตร
- เวลาในขณะนี้คือ 16.55 หรือ อีก 5 นาที 5 โมงเย็นนั่นเอง
- หน้าจอถัดมา แสดงให้เห็นถึง ทริป B คือ ระยะทางตั้งแต่เติมน้ำมันเต็มถังที่กำแพงเพชรมาจนถึงปาย คือ วิ่งมาทั้งหมด 363.9 กิโลเมตร
ในหน้าจอนี้บอกอัตราสิ้นเปลืองตั้งแต่กรุงเทพ – ปาย คือ 15.6 กิโล/ลิตร ด้วยความเร็วเฉลี่ย 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
หน้าจอถัดมาแสดงเวลาที่ผมขับรถจากบ้าน – ปาย (เฉพาะเวลาที่ขับรถ ไม่รวมเวลาแวะพัก) คือ 10 ชั่วโมง 13 นาที
นั่นหมายถึงผมขับได้เร็วกว่าที่ GPS คาดไว้ถึง 4 ชั่วโมง!!!
———————–
เช็คสถิติเสร็จแล้วกลับมาเช็คอินก่อนดีกว่า
รถคันนี้ โรงแรมเอาไว้รับ-ส่งลูกค้าไปถนนคนเดินนั่นเอง
เดินขึ้นบันไดด้านหน้ามาแล้วเลี้ยวซ้าย ก็จะเจอโต๊ะ Reception
ซึ่งด้านซ้ายมือของ Reception ก็คือ ร้านขายของที่ระลึกของทางโรงแรม
ส่วนขวามือ คือห้องสมุดและห้องที่ให้บริการ
Internet ฟรี สำหรับลูกค้า เนื่องจากที่นี่ไม่อนุญาตให้ลูกค้าใช้ wireless
Internet ในห้องพัก
ในห้องมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ 2 ตัวครับ
เดินออกมาจากห้องสมุด ก็จะพบส่วน Lobby
เป็นเก้าอี้ยาว ๆ ส่วนถัดไปด้านขวาก็คือ ห้องอาหารของโรงแรม
ซึ่งพรุ่งนี้เช้า ผมก็ต้องมาทานอาหารเช้าที่นี่นั่นเองครับ
ระหว่างรอเจ้าหน้าที่เช็คอิน ก็นั่งพักซะเล็กน้อย หลังขับรถยาวมากว่า 820 กิโลเมตร
นั่งยังไม่ทันรู้สึกถึงความสบาย เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า เช็คอินเรียบร้อยแล้ว และพร้อมพาเราสองคนไปที่ห้องพักแบบ Deluxe ที่จองเอาไว้
โดยเจ้าหน้าที่บอกให้เราขับรถไปเข้าซอยถัดไป จะมีลานจอดรถให้ต่างหากซึ่งปลอดภัยกว่าจอดด้านหน้า แถมยังติดกับอาคารที่เราพักอีกด้วย
ผมจึงพาภรรยาขึ้นรถ และขับมาตามที่พนักงานบอก ก็พบทางเข้าลานจอดรถสำหรับลูกค้าโรงแรมโยมา จึงเลี้ยวเข้ามาจอดทันที
เดินลงจากรถมา พนักงานรีบกุลีกุจอมาเอากระเป๋าที่รถ ส่วนผมก็มองอาคารที่อยู่เบื้องหน้า ก็พบภาพนี้ครับ
ซึ่งห้องที่ผมพัก ก็คือห้องชั้นบนริมขวาสุดนั่นเองครับ โดยเลขที่ออกคือ
เป็นห้องแรกหลังเดินขึ้นบันไดมาครับ
ก่อนเข้าห้อง หันมามองบันไดที่เพิ่งเดินขึ้นมาอีกที
มองไปด้านขวา จะพบอีกอาคารนึงครับ ซึ่งเป็นห้องแบบ Deluxe ทั้งอาคารเลย แต่วิวจะถูกบังด้วยต้นไม้มากกว่าอาคารที่ผมอยู่ครับ
ก่อนเข้าห้องหันไปดูอีกทาง ก็พบลานจอดรถของลูกค้านั่นเอง นับว่าอยู่ห้องนี้สามารถเดินไปที่รถสบาย ๆ เลยครับ
เปิดประตูห้องเข้ามา ด้านขวามือจะเป็นที่เสียบ Key Tag / Switch เปิด-ปิดไฟ / รีโมทแอร์ ครับ
หันกลับมาดูภายในห้อง ด้านขวามือก็เจอเตียงก่อนเลย
แหงนคอมองขึ้นไปบนเพดาน ก็พบว่ามีทั้งแอร์ และพัดลม
ก้มลงมามองปลายเตียงก็เจอรองเท้าแตะไว้ใส่เดินในห้อง
แต่พอเดินไปที่หัวเตียงก็จะเจอโคมไฟ / โทรศัพท์ / สมุดโน้ต
หันมาดูทางปลายเตียง หรือด้านซ้ายมือเวลาเดินเข้าห้องมา จะเจอประตูห้องน้ำ ถัดมาเป็นตู้วางทีวี และจบด้วยโต๊ะทำงาน
ผมเดินไปเปิดตู้ด้านล่างทีวี ก็เจอชั้นกาแฟและตู้เย็นเล็ก ๆ ซ่อนอยู่ครับ
ชั้นวางกาแฟแบบเรียบง่าย
ถัดจากทีวี มี Welcome Fruits วางอยู่ แหม เหมือนรู้ใจว่าผมชอบ”ส้ม”
แต่ก่อนจะแกะส้มกิน ผมก็ถูกดึงดูดสายตาด้วยภาพวิวด้านนอก
เลยเดินออกไปดูวิวสวย ๆ สักหน่อย
สีเขียวของใบไม้นี่ดูยังไงก็สดชื่น
ก้มลงไปจะเห็นสระว่ายน้ำส่วนกลางของโรงแรม
มองไปด้านขวาจะเห็นห้องแบบ”วิลล่า” ซึ่งอยู่ติดกับสระว่ายน้ำเลย
ผมชะโงกหน้าลงมาดูด้านล่างของห้องผม ก็พบห้องแบบ Grand Deluxe ที่มีเตียงให้นอนเล่นบริเวณระเบียง
หันกลับมามองภายในห้องพัก
ถ่ายวิวเยอะไปแล้ว มาถ่ายภรรยาผมบ้าง เดี๋ยวจะน้อยใจ
แชะเดียวไม่พอ น้องเจขอสอง
ถ่ายรูปเสร็จ ก็อยากถ่ายท้อง เดินเข้าห้องน้ำดีกว่า
เดินเข้าไปดูหน่อยซิ
ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ แขวนเรียงรายอยู่เหนือชักโครก
ในส่วนอาบน้ำ แอบมี Rain Shower ด้วย
อาบน้ำไป (แอบ)ดูวิวไป
โดยทางโรงแรมจัดเตรียมสบู่+แชมพูแบบสมุนไพรไทย
กลับหลัง…..หันนนนน
เดินมาดูชัด ๆ
ตู้แขวนเสื้อผ้า และชั้นวางของมารวมกันอยู่ในนี้หมด
ส่วนชั้นล่าง ไว้วางตู้เซฟ
แล้วตรงนี้มีอะไรบ้างหนอ?
อุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกายต่าง ๆ
สบู่มังคุดสำหรับล้างมือ
ไดร์เป่าผม
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ใกล้มืดค่ำแล้ว ลงไปสำรวจรอบ ๆ โรงแรมดีกว่า เริ่มที่สระว่ายน้ำ
ว่ายน้ำสระ Infinity Pool ดูทิวเขา เคล้าด้วยเพลงฝรั่งที่สุดแสนโรแมนติคผ่านลำโพงรอบสระว่ายน้ำ
บรรยากาศใกล้ค่ำ ริมสระว่ายน้ำ
ข้าง ๆ สระเป็นบ่อนวดตัวแนว Jacuzzi ให้ 2 บ่อ
ถัดลงไปจะเป็นสนามหญ้า มีเก้าอี้นั่งเล่นชิลล์ ๆ
เจ้าเก้าอี้รูปทรงแปลก ๆ นี่เหมือนจะเขียนเป็นคำ แต่ผมพยายามอ่านเท่าไหร่ก็อ่านไม่ออก ว่าเขียนว่าอะไร
จากสระว่ายน้ำ ถ้าเราจะเดินไป Lobby ก็จะผ่านห้องแบบ”วิลล่า”
ห้องวิลล่าที่นี่มีเพียง 5 ห้องเท่านั้น
ซึ่งห้องสุดท้ายก็จะติดสระว่ายน้ำ ที่ผมเพิ่งเดินไปชมมา
เดินขำ ๆ ก็จะถึงบันไดขึ้นสู่ Lobby แล้ว
หันไปมองทางซ้าย ก็คือห้อง V01 หรือ วิลล่า 1 นั่นเอง
ขนาดห้องวิลล่า ภายในก็เล็กพอ ๆ กับ Deluxe นั่นแหล่ะครับ เพียงแต่ได้อารมณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง

เมื่อก้าวพ้นวิลล่าทั้ง 5 ห้องเรียบร้อยแล้ว ก็จะเจอทางแยก คือ
เลี้ยวซ้ายไปห้องแบบ Superior 6 ห้อง ซึ่งตั้งอยู่อาคารเดียวกับ Lobby
และห้องอาหารนั่นล่ะครับ
เพียงแต่อยู่ชั้นล่าง กับเดินขึ้นบันไดเพื่อไป Lobby
จากจุดนี้ถ้ามองไปทางขวามือ จะพบกับอาคาร A ที่มีแต่ห้องพักแบบ Deluxe ทั้ง 2 ชั้น
ห้องแบบ Superior ซึ่งเป็นห้องที่ถูกที่สุดในโรงแรม จะได้ทำเลติดกับสวนของโรงแรมครับ และห้องประเภทนี้จะไม่มีระเบียงครับ
งั้นผมขอโอกาสเดินผ่านห้อง Superior ไปชมสวนของโรงแรมก่อนดีกว่าครับ
ก่อนเดินเข้าสวนมีแม่หมูพร้อมบริวารยิ้มต้อนรับลูกค้าอยู่
ถัดมาก็จะเป็นชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ไว้นั่งพักผ่อน ดูลูกค้าที่พักห้องวิลล่าจู๋จี๋กันที่ระเบียง
ให้ดูมุมกว้าง ๆ ครับ
หันกลับไปดูทางเดินที่เพิ่งพ้นมาซิ
หลักกิโล…โยมาปาย
ตู้ไปรษณีย์ที่รายล้อมไปด้วยเก้าอี้นั่งเล่น
ซึ่งมุมนี้ก็จะมองเห็นห้องพักนั่นเอง ตามโครงสร้างของโรงแรมที่ออกแบบเป็นรูปตัว L
ชมวิวได้ไม่นาน ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี แถมอากาศก็เริ่มเย็น ผมจึงเดินขึ้นมาที่ Lobby เพื่อให้รถของโรมแรมพาไปส่งที่ถนนคนเดิน
ถึงแล้ว
เดินเข้ามาก็เจอรถตู้ประถม 1 ยอดฮิต
เห็นแล้วนึกถึงสมัยเด็ก ๆ
บรรยากาศรอบ ๆ มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่ไม่หนาตา อันเนื่องมาจากปลายหนาว + วันธรรมดานั่นเอง
เดินมาถึงสามแยก เราสองคนพากันเลี้ยวขวาก็มาสะดุดสายตาร้านค้าชื่อดัง ที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารกรุงไทย
สังเกตจากป้ายหน้าร้านและจำนวนลูกค้า(ฝรั่ง) ณ ขณะนั้นแล้ว คิดว่าคงขายดีไม่น้อยในช่วง High Season ที่ผ่านมา
รับอะไรดีครับ
จะบอกเพื่อน ๆ ที่ยังไม่เคยไปว่า อย่าดูแต่เมนูด้านล่าง ให้ดูด้านบน ๆ
ด้วย เพราะโรตีชีสที่ฮิตหนักฮิตหนา เค้าเขียนไว้ด้านบน เพราะผมเข้าใจผิด
คิดว่าโรตีทุกอันใส่ชีสอยู่แล้ว และด้วยการออกแบบกรอบด้านบน
ทำให้ผมเลือกดูแต่เมนูด้านล่าง จึงอดทานโรตีชีสของร้านนี้ไปเลย
————————
เมื่อได้โรตีเรียบร้อยแล้ว เราสองคนเดินกินโรตีบนถนนคนเดินท่ามกลางอากาศที่เย็นลงเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข
ในขณะที่เคี้ยวแผ่นแป้งผสมกล้วยและช็อคโกแลตอยู่นั้น ผมกลับมีความรู้สึกอิสระอย่างบอกไม่ถูก
คิดดูสิครับ ผมไม่สามารถทำอะไรแบบนี้ที่กรุงเทพได้อย่างแน่นอน
…..ถ้าเป็นกรุงเทพ ผมไม่สามารถเดินบนถนนที่รถสามารถวิ่งไป-มาได้
…..ถ้าเป็นกรุงเทพ ผมไม่สามารถเดินกินโรตีท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่เดินสวนไป สวนมาได้ เพราะกลัวจะเสียฟอร์ม
…..ถ้าเป็นกรุงเทพ ผมคงต้องคอยซับเหงื่อ แทนที่จะเดินชิลล์ ๆ ได้แบบนี้
เอ๊ะ หรือนี่จะคือ เสน่ห์ของเมือง
“ปาย” เมืองเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขา จนเหมือนเราได้มาอยู่อีกโลกหนึ่ง
แต่จะว่าไปก็เป็นไปได้ เพราะเมื่อเราเดินมาใกล้แม่น้ำปาย ผมเริ่มมีความรู้สึกถึงการมาฮันนีมูน
“ต่างประเทศ” เพราะ
ผมแทบไม่พบคนไทยเลยแม้สักคนเดียว ในบริเวณนั้นมีแต่ฝรั่งเดินไป เดินมา
ผับบาร์กิ๊บเก๋หลายที่ก็เต็มไปด้วยฝรั่งนั่งฟุดฟิดฟอไฟกันเต็มไปหมด
ก็อย่างว่าแหล่ะครับ ฝรั่งเค้าแห่มาเที่ยวที่นี่กันตั้งนานแล้ว ก่อนที่พี่ไทยจะนำเมืองปายขึ้นท็อปฮิตติดชาร์ตเสียอีก
————————
หลังจากเดินย่อยโรตีได้สักพัก เราก็มาสะดุดสายตากับร้านเค้กร้านหนึ่งซึ่งตกแต่งได้สวยสดงดงามมาก
เมื่อเห็นป้ายชื่อร้าน ภรรยาผมรีบจูงมือเข้าไป ด้วยเหตุผลที่ว่า “ร้านนี้มีคนแนะนำ”
ซึ่งการตกแต่งของร้าน เน้นสีสันของดอกไม้มาประดับ จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ตกลงร้านนี้ขายเค้กหรือขายดอกไม้กันแน่? 55555
นอกจากเค้ก ยังมีไอติมให้เลือกทานด้วย
แม้จะอิ่ม ๆ มาบ้าง แต่ก็ไม่วายที่จะสั่งเค้กและเครื่องดื่มร้อน ๆ มานั่งทานท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย
ไปนั่งริมถนนดูคนเดินดีกว่า
เมนูแรกมาแล้ว รอยัลช็อคโกแลตเค้ก ชิ้นละ 75 บาท
ต่อเนื่องด้วยเลมอน ชีสเค้ก ชิ้นละ 75 บาทเช่นกัน
เสิร์ฟเค้กเสร็จ ตามมาด้วยเครื่องดื่มร้อน ๆ โดยผมสั่งช็อคโกแลตร้อน ถ้วยละ 50 บาท
ส่วนของภรรยาเป็นนมสดร้อนใส่น้ำผึ้ง แก้วละ 45 บาท
อืมมมม…รสชาติดีแฮะ
เอ๊ะ! เค้ามุงอะไรกัน?
จนเครื่องดื่มหมดแล้ว คนก็ยังแน่นไม่จางหาย
ซูมกล้องเข้าไปดูหน่อย มันคืออะไร
ทานเค้กเสร็จพอดี ไหน ๆ จะเดินกลับอยู่แล้ว ข้ามไปลองหน่อยดีกว่า
เค้าเอาน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่มาให้ โดยสามารถเก็บกระบอกไม้ไผ่กลับมาเติมได้อีกในราคา 10 บาท
เมื่อรับเครื่องดื่มมาแล้ว ก็ไม่วายที่จะดูดให้หมด และโยนกระบอกไม้ไผ่ทิ้งไป เพราะคงจะ“ไม่มาเติมอีกแล้ว”
สงสัยที่มุง ๆ ก่อนหน้านี้จะเป็นหน้าม้า 55555
———————-
แค่คืนเดียว ทั้งโรตี ทั้งเค้ก
นี่ยังไม่รวมขนมนมเนยที่ทานมาตอนเดินทางอีกนะ
จึงตัดสินใจโทรหาโรงแรมโยมาทันที เพื่อให้รถมารับกลับไปนอน
โดยทางโรงแรมแจ้งว่าให้มายืนคอยตรงร้าน Black Canyon ชื่อดังที่ตั้งอยู่ตรงสี่แยกปายหนาวพอดิบพอดี
เมื่อกลับถึงโรงแรม ผมเริ่มรู้สึกว่า
อากาศมันเย็น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เปิดแอร์ไว้แต่อย่างใด
ผมจึงเดินออกไปที่ระเบียงก็พบว่า อากาศข้างนอกหนาวมาก
อุณหภูมิน่าจะอยู่ประมาณ 10 ต้น ๆ ได้เลยทีเดียว
ผมจึงตัดสินใจไม่ปิดประตูกระจก แต่เลือกที่จะปิดประตูมุ้งลวดแทน เพื่อให้อากาศภายนอกพัดเข้ามาในห้องโดยไม่นำยุงเข้ามาด้วย
เมื่อผมเดินกลับมาที่เตียง
ก็รู้สึกถึงความหนาวแบบธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นทันที
และคืนนั้นก็จบลงด้วยการนอนที่ไม่ต้องใช้แอร์หรือพัดลมช่วยแต่อย่างใด
ผมว่านี่แหล่ะ คือ เสน่ห์ของเมืองหนาวที่แท้จริง….
————————
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011
Good Morning @Pai
เราสองคนตื่นมาด้วยความสดชื่น
อากาศยามเช้ายังเย็นต่อเนื่อง และเมื่อมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกล้องมาเก็บภาพความประทับใจในยามเช้า
เมื่อดื่มด่ำความสุขในยามเช้าเรียบร้อยแล้ว เราสองคนเดินจูงมือกันมาที่ห้องอาหารของโรงแรมบริเวณ Lobby นั่นเอง
โดยอาหารเช้าจะเป็นแบบบริการตัวเอง
เริ่มด้วยการหยิบอาวุธที่ชั้นวางด้านล่าง
แล้วก็เดินมาหยิบตักตามใจชอบ
ไลน์เครื่องดื่ม ทั้งชา กาแฟ และน้ำผลไม้
น่าทานไหมครับ
หิวแล้ว ลุยเลยดีกว่า
———————-
เมื่ออิ่มหมีพีมันกับอาหารเช้าแบบฝรั่งแล้ว เราสองคนก็มาใช้บริการน้อง March คู่ใจ พาเที่ยวเมืองปายต่อ
ก่อนออกรถ กดดูอุณหภูมิสักหน่อย
โอ้ว 16 องศาเอง เย็น ๆ แบบนี้ เปิดหน้าต่างขับดีกว่าเนอะ
ผมกด GPS หาน้ำตกหมอแปงจนเจอ ก็มุ่งหน้าไปน้ำตกก่อนเลย
แวะถ่ายรูปขำ ๆ ตามทาง
ถนนแคบม่ะ?
ถึงแล้ววววววว จอดตรงนี้แหล่ะ หินตรึมเลย เฮ้อออ
เมื่อลงจากรถ ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า ควรจะลงไปที่น้ำตกดีหรือไม่ เพราะมันเงียบมากกกกกกกก ไม่มีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
แต่เมื่อมานึกดูแล้วว่าวันนี้วันพุธ
แถมยังเป็นช่วงเช้า ๆ ซึ่งมันไม่ใช่วัน-เวลาที่ชาวบ้านเค้าเที่ยวกัน
มันคงไม่แปลก ถ้าจะไม่เห็นนักท่องเที่ยวนี่นา
————————–
ผมจูงมือภรรยาเดินลงบันไดไปอีกพอสมควร จนในที่สุด เราก็รู้ว่าทำไมถึงไม่มีใคร
ก็น้ำแห้งซะขนาดนี้
ลองซูมดู
ในเมื่อไม่มีน้ำให้เล่น ผมก็มาถ่ายรูปเล่นดีกว่า
ถ่ายรูปเสร็จแล้ว เราก็ชวนกันไปเที่ยวที่อื่นต่อ…..
เมื่อขับออกมาถนนหลวงสายแม่ฮ่องสอน – ปาย จนถึงทางแยกเข้าถนนเลี่ยงเมือง ผมก็เจอป้ายนี้
เลยแวะถ่ายรูปสักหน่อย
หลังจากนั้น ผมก็ขึ้นควบเจ้า March เลี้ยวขวาเข้าถนนเลี่ยงเมือง และเลี้ยวขวาเข้าซอยอีกที และวิ่งมาเรื่อย ๆ จนเจอวัดชื่อดัง
เนื่องจากประเพณีจีนโบราณที่บ้านภรรยาผม
ไม่ให้คู่แต่งงานเข้าวัดหรือศาลเจ้ายาว 4 เดือน
ผมจึงทำได้แค่เพียงถ่ายรูปจากริมถนนมาให้ดูแทน
แชะเสร็จ ผมก็ขับรถต่อไปอีกนิดเดียว ก็เลี้ยวซ้าย และเข้าจอดที่ลานจอดรถทันที
จอดเสร็จก็ถ่ายรูปรถก่อนเพื่อนเลย
ด้านข้าง
ขอถ่ายคู่กับรถบ้าง
ถ่ายจนหนำใจแล้ว ก็เดินเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านจีนยูนนานทันทีครับ
บรรยากาศโดยรวม
ร้านขายของที่ระลึกก็จะขายของจีน ๆ ต่าง ๆ เช่น ชาจีน เป็นต้น
มุมถ่ายรูปนี้มีค่าใช้จ่าย
ถ้าอยากกินขาหมูก็มาที่นี่
มุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ
คนจีนย่อมชอบสี”แดง”เป็นธรรมดา
หันมาอีกที “เอ๊ะ! เค้าทำอะไรกันนะ”
ดูเหมือนจะเป็นชิงช้านะ
คำเฉลยอยู่นี่
คิดดู จะเล่นที ต้องใช้ผู้ชายช่วยไกวมากขนาดนี้

มีกองเชียร์ร่วมลุ้นข้างสนาม
ใกล้ ๆ ชิงช้า เจอม้าตัวนี้น่ารักดี ใส่แว่นด้วย

หิวยัง? ทานสุกี้ไหมครับ?
เดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ ยังเจออีกหลายร้าน แต่ปิดกันหมด

ทดสอบกำลังภายในแล้ว กำแพงร้านแข็งใช้ได้เลย

ขี้เกียจเดินเข้าไป ใช้ซูมเอาแล้วกัน อิอิ

ขนาดห้องน้ำยังจี๊นนน จีน
เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งในโซนนี้นั่นเอง

เห็นแล้วนึกถึงหนังจีนเนอะ
ส่วนตรงนี้ เค้ามีกิจกรรมให้ลอง”ยิงหน้าไม้” แบบจีน ๆ

เดินดูทั่วแล้ว ก็ออกมาเดินดูด้านนอกกันบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร
เดินไปเดินมาเริ่มร้อน ยกนาฬิกาขึ้นมองเวลา โอ้ว 11 โมงกว่าแล้ว ไปหาอะไรทานดีกว่า
ขึ้นรถ Start เครื่อง กดดูอุณหภูมิก่อนเลย ทำไมร้อนเช่นนี้
จากนั้น ผมก็ขับรถเข้าตัวอำเภอปายครับ
ช่วงนี้เค้ากำลังโปรโมต “ปาย 100 ปี” พอดี เพราะเห็นป้ายเมื่อเช้า ก็ยังมาเจอที่หน้าอำเภออีก
ถ้าอยากรู้ประวัติเมืองปาย มายืนอ่านกันได้ที่นี่
แต่ผมขี้เกียจอ่าน เลยเดินเข้าที่ว่าการอำเภอ เพื่อไปขอประกาศนียบัตร เสียค่าธรรมเนียมไป 50 บาท
ซึ่งประกาศฯใบนี้ ผมขอมอบให้น้อง March ครับ
รับใบประกาศเสร็จ ก็เดินมาทานส้มตำชื่อดัง ฝั่งตรงข้ามที่ว่าการอำเภอ
เท่าที่อ่านจากป้ายที่ติดภายในร้าน
เลยทำให้รู้ว่า ร้านนี้คนแน่นมากในช่วงเทศกาลที่ผ่านมา
แต่ผมมาช่วงนี้เลยสบาย คลายความแน่นไปได้เยอะ
ดังนั้นแค่ภายใน 5 นาที อาหารที่สั่งทั้ง 3 จานก็ถูกวางอยู่ตรงหน้า
หลังจากทานเสร็จ บอกได้เลยว่าอร่อย และราคาไม่แพงครับ ค่อยมีความรู้สึกว่ามาทานส้มตำต่างจังหวัดหน่อย
ไม่เหมือนร้านกาแฟหลายร้านที่ราคาเท่าในกรุงเทพเด๊ะ ๆ เลย จนแอบรู้สึกว่า ไม่ต้องลำบากมาทานถึงนี่ก็ได้
———————-
ทานส้มตำเสร็จ ก็ขับรถออกไปเที่ยวต่อด้านนอกครับ ขับไปขับมา สายตามาสะดุดป้ายนี้

ว้าวววว กม. ที่ 0
อีกด้านของป้ายบ่งบอกผู้จัดทำ
และเมื่อออกรถมาได้อีกไม่นาน ผมก็เกิดหิวกาแฟ พลันสายตาเหลือบไปเห็นร้านนี้เข้า เลยรีบแวะทันที
แต่ก่อนเข้าไปสั่งกาแฟ ขอถ่ายรูปเล่น ๆ หน้าร้านก่อน
ซูม ๆ
น้องมาร์ชขอแชะอีกสักรูป
ก่อนจะโดนเจ้าของถ่ายคู่
มายืนด้านข้างบ้าง
ก่อนจะลงไปขอบคุณล้ออัลลอยใหม่ของ Enkei และยาง Nitto Neo Gen ที่ทำให้ผมมีความสุขในการขับขี่ March มาเที่ยวในครั้งนี้สุด ๆ
เดี๋ยวร้านเค้าน้อยใจ มาถ่ายร้านเค้าบ้าง

ร้านนี้นับว่าจัดมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ ไว้เพียบเลย
มองดูดี ๆ สิ เป็นรูปหน้ายิ้มด้วย
มุมนี้ภรรยาผมจอง
เดินขึ้นไปสั่งกาแฟดีกว่า
เดินขึ้นมาก็เจอข้อความนี้ เหมือนรู้ว่าผมมาฮันนีมูน
ก่อนเดินเข้าไปสั่งก็เจอหมานอนตายอยู่ตัวหนึ่ง
มุมถ่ายภาพเก๋ ๆ ในร้านข้างเคาน์เตอร์

มาดูด้านนอกกันบ้าง นั่งชมวิวสบาย ๆ เลย
มาสะดุดภาพสุดท้าย บ้าน 2 หลังนั่นคืออะไรเอ่ย?

สอบถามพนักงานได้ใจความว่า มันคือบ้านของเจ้าของร้าน น่าอยู่ดีจังเลย

ลักษณะบ้านหันหน้าเข้าเนินเขา รับวิว Hillside กันแบบเต็ม ๆ
มาดูวิวสวย ๆ กันบ้าง
กาแฟยังไม่มาก็นั่งรอกันต่อไป
กาแฟมาแว้วววว ซึ่งของผมเป็นกาแฟเย็นฮิวไซด์ แก้วละ 75 บาท ส่วนของภรรยาเป็นชาเขียวนมสดปั่น ราคาเท่ากันเด๊ะ!
ถ่ายรูปคู่กันสักหน่อย
—————————
ได้กาแฟแล้ว ร่างกายตื่นตัวพร้อมลุยต่อ ผมขับรถออกจากร้านกาแฟเลี้ยวขวาบนถนนสายหลัก ย้อนไปไม่ไกล ก็เจอป้ายบอกทางไป “น้ำตกแพมบก” ผมก็เลี้ยวขวาทันที
โดยทางเข้าแรก ๆ ก็เป็นถนนธรรมดาทั่ว ๆ ไป
วิวสองข้างทาง
ขับได้สักพัก ถนนก็เริ่มแคบลง และเส้นทางก็เริ่มชันมากขึ้น
สองข้างทางก็มีแต่ต้นไม้ ไร้สิ่งก่อสร้างใด ๆ
แม้จะขับเข้าซอยมากว่า 5 กิโลเมตร ผมก็บ่ยั่น ก็น้องมาร์ชเค้าไปได้ทุกที่ ที่มีถนนนี่นา
และแล้วก็…ถึงสักที
ผมเลี้ยวขวาตามป้าย เข้าจอดรถทันที
และแน่นอน ช่วงน้ำน้อย + วันธรรมดา
ทำให้น้ำตกในปาย ก็ยังร้างราผู้คนอยู่เช่นเคย น้อง Lucky
จึงต้องอยู่ลำพังอย่างเดียวดายบนลานจอดรถของน้ำตก
ก่อนจะทิ้งให้ Lucky อยู่ลำพัง ก็ถ่ายรูปเค้าไว้สักหน่อย
ขออีกสัก act เนอะ lucky เนอะ
ส่วนพ่อกับแม่ ขอตัวไปลุยน้ำตกก่อน
ทางขึ้นค่อนข้างธรรมชาติมากมาย
น้ำน้อยจริง ๆ
เหนื่อยนัก พักก่อน
ส่วนหนุ่ม-สาวอย่างเราสองคนไม่หวั่น ลุยต่อ
ไม่ว่าทางจะยากลำบากแค่ไหน
เราก็จะไปด้วยกัน
วิวข้างทางระหว่างเดินขึ้น
หลังจากนั้นเราก็ต้องเดินข้ามสะพานไม้มาอีกฝั่งหนึ่ง
รูปนี้ถ่ายจากบนสะพานไม้ จะเห็นได้ว่า น้ำน้อยจริง ๆ
ผู้ชายที่เห็นในภาพนั้น เพิ่งเดินแซงผมไประหว่างที่ผมมัวแต่ถ่ายรูป ซึ่งก่อนที่เค้าจะแซงผม เค้าได้ยิ้มทักทายก่อนจะพูดว่า
“See you again!!” เนื่องจากเค้าก็มาทานกาแฟที่ร้าน Hillside ก่อนจะเดินทางมาที่น้ำตกแพมบกเช่นเดียวกันนั่นเอง
เดินขึ้นได้แป๊ปเดียว ก็เจอทางลงไปน้ำตก
เห็นภาพนี้ ก็ยิ่งรู้สึกแห้งแล้ง เพราะน้ำหดหายไปเยอะจริง ๆ
ถ้ามีน้ำเยอะ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร
แล้วเราก็เดินมาถึงจุดไฮไลท์ของน้ำตก ซึ่งถ้ามีน้ำเยอะ ที่นี่คงจะสวยงามน่าดู
ดูน้ำตกสิ ไหลน้อยอย่างกับเยี่ยวแมว
แม้น้ำจะน้อย แต่เมื่อยืนอยู่บริเวณนี้ ผมรู้สึกได้ชัดเจนว่า อากาศเย็นลงมาก รู้สึกสบายตัว และสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ดังนั้นเลยต้องยกนิ้วให้อากาศสักหน่อย
ถ่ายรูปภรรยาผมบ้าง
เมื่อสูดอากาศจนพอใจแล้ว ก้มมองนาฬิกาข้อมือ ก็ตกใจ เพราะเกือบจะบ่าย 3 แล้ว
เราสองคนจึงชวนกันออกจากน้ำตก เพื่อไปเช็คอินที่รีสอร์ทกันก่อนให้เรียบร้อย
ถึงแว้วววว
จอดรถด้านหน้าได้เลย
รีสอร์ทนี้ไฮโซ ใช้ Hummer รับ-ส่งลูกค้าด้วย
ซึ่ง“ปาย ไอส์แลนด์” นั้นตั้งอยู่เยื้องกับโรงแรมที่มาพักเมื่อคืนนั่นแหล่ะครับ เรียกว่าเดินข้ามถนนก็ถึงแล้ว
ผมเดินลงจากรถปุ๊ป ก็มีพนักงานผู้ชายวิ่งหน้าตั้งมา แล้วถามผมว่า “สวัสดีครับ คุณศุภณัฏฐ ใช่ไหมครับ?”
เมื่อผมตอบว่า “ใช่ครับ” ก็รีบกุลีกุจอขนกระเป๋าเสื้อผ้าผมไปอย่างรวดเร็วทันที
———————
ผมจึงจัดการ Lock รถเรียบร้อย แล้วพาภรรยาเดินตามพนักงานเข้าไป ก็พบกับส่วน Reception ก่อนเลยอันดับแรก

ก่อนจะเข้าไปลงทะเบียน ก็ได้รับ Welcome Drink ชื่นใจคนละแก้ว
ซึ่งแน่นอน ถ่ายภาพน้ำไม่ทัน เพราะต่างก็กระหายน้ำหลังจากไปบุกป่า
ฝ่าน้ำตกกันมาเมื่อช่วงบ่าย
หลังจากลงทะเบียนเช็คอินเสร็จ ก็เตรียมตัวเข้าสู่ที่พักของเราในค่ำคืนนี้
เดินผ่านเข้ามา ด้านซ้ายมือก็จะเป็นห้องอาหารของรีสอร์ทครับ ชื่อ ร้าน Homemade Handmade
ติดกับร้านอาหารจะเป็น Gallery ครับ เข้าไปนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือได้ตามสบาย
ด้านขวามีเก้าอี้ให้นั่งชมลำน้ำเล็ก ๆ
ที่โอบล้อมส่วนห้องพักทั้งหมดคล้ายเกาะ จึงไม่แปลกใจที่รีสอร์ทตั้งชื่อว่า
“ปาย ไอส์แลนด์” นั่นเอง
เดินมาสุดทาง ก็จะเจอสะพานข้ามลำน้ำไปสู่ที่พัก
วิวบนสะพาน
เดินข้ามสะพานมาก็เจอทางแยก ทางซ้ายจะไปห้องแบบ Island Suite ทั้งหมด
ส่วนทางขวาจะไปห้องอีก 3 แบบที่เหลือ ซึ่งมีอย่างละห้อง คือ Island
Honeymoon Suite , Island Family Suite และ Island Owner Suite
ห้องที่ผมจองไว้คือ Island Suite ดังนั้นก็มาด้านซ้ายดีกว่า
ด้านขวามือจะมีที่ให้นั่งพักผ่อน คล้าย ๆ Lobby ซึ่งรีสอร์ทจะเปิดเพลงเพราะ ๆ ตลอดเวลา ทำให้ได้บรรยากาศชิล เอาท์มากมาย
ถึงแล้ว วิลล่าของผม
หมายเลขที่ออก คือ…
ก่อนจะเดินเข้าห้องพัก มีพนักงาน 2
ท่านมายืนสวัสดีด้วยรอยยิ้มที่สดใส
และเปิดประตูวิลล่าให้เราก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งการพักผ่อนที่แท้จริง
เดินเข้ามาอีกนิดก็จะเจอประตูเข้าบ้านด้าน
ซ้ายมือ ส่วนประตูไม้ที่เห็นด้านขวามือนั้น คือ
ประตูออกไปสูดอากาศที่ระเบียงริมลำน้ำนั่นเอง
หันหลังกลับไปดู ก็จะเจอกับประตูที่เราเพิ่งเดินเข้ามา
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมยังไม่เข้าไปในบ้าน แต่เดินตรงมาอีกนิด
มีโต๊ะ-เก้าอี้สำหรับนั่ง Dinner ซะด้วย
มุมมองจากโต๊ะย้อนไปทางที่เดินมา
ออกไปดูระเบียงข้างนอกกันดีกว่าครับ
เจอเก้าอี้นั่งจู๋จี๋อยู่ 2 ตัว
วิวภายนอก ที่โอบล้อมไปด้วยลำน้ำเล็ก ๆ
ซึ่งดูแล้วค่อนข้าง Private มาก ๆ ครับ เพราะไม่สามารถมองเห็นระเบียงบ้านหลังอื่นได้เลย
ชมวิวเสร็จ เดินกลับเข้าบ้านก่อนดีกว่า
เมื่อเดินกลับเข้ามาจากระเบียง ก็เจอภาพนี้
ผมตัดสินใจเดินไปดูทางด้านขวาก่อนจะเข้าบ้าน ก็พบว่ามีอีกประตูนึงที่เข้า-ออกตัวบ้านได้
ซึ่งประตูนี้ก็ใช้เพื่อเดินออกมาอาบน้ำ Outdoor ด้วย Rain Shower นั่นเอง
รวมถึงออกมาแช่อ่างที่อยู่ข้าง ๆ กันได้ โดยไม่ต้องอับอายสายตาประชาชี
อ่างอาบน้ำมีขนาดใหญ่มากครับ ลงไป 2 คนได้สบาย ๆ เลย
เห็นด้านนอกแบบนี้แล้ว ผมอดใจไม่ไหวที่จะเข้าไปดูภายในบ้านทันทีครับ
เมื่อเดินเข้ามา
ก็เย็นฉ่ำด้วยแอร์คอนดิชั่นที่ทางรีสอร์ทเปิดรอไว้ให้ก่อนแล้ว
แต่เมื่อเห็นเตียงสีขาว ก็ต้องร้อง “โอ้วววว” เพราะเตียงน่านอนมากมายครับ
บนเตียงมีผ้าขนหนูรูปกระต่ายมานอนรอต้อนรับเรา 2 คนซะด้วย
ด้านซ้ายของเตียงมีโคมไฟและไฟฉายวางอยู่ครับ
หันตัวกลับมาก็จะพบโต๊ะทำงานตั้งอยู่ด้ายซ้าย ต่อด้วยโซฟานั่งเล่นตรงกลาง ส่วนด้านขวาก็เป็นทีวีและตู้เย็นแบบมินิบาร์ครับ
มาดูกันที่ละจุดเลยดีกว่าครับ เริ่มด้วยโต๊ะทำงาน
เป็นมุมที่น่าทำงานมากมายครับ เพราะมองออกไปก็จะเห็นมุมอาบน้ำ Outdoor พอดิบพอดี
แต่ถ้าภรรยามายืนอาบน้ำตอนทำงาน ผมเกรงว่า มันคงไม่เหมาะกับการนั่งทำงานสักเท่าไหร่หรอกนะครับ 55555
—————
ด้านซ้ายมือของโต๊ะทำงานจะเป็นเครื่องชงกาแฟ พร้อมอุปกรณ์ทั้งหมดสำหรับการ “จิบ”ครับ ซึ่งมุมนี้ดื่ม“ฟรี”ครับ
ถัดมาด้านขวาก็คือโซฟานั่งเล่นกับโต๊ะวางของรูปหีบสมบัติครับ
ซึ่งผมพยายามเปิดหีบสมบัติดู เผื่อเจอ Surprise จากทางรีสอร์ท ก็ยังไม่พบอะไรนะครับ
ยกเว้น Welcome Fruit ที่ทางรีสอร์ทวางไว้ให้ทานฟรี ๆ บนหีบนั่นแหล่ะ
ซึ่งโซฟาตัวนี้ผมขอบอกเลยว่า นอนสบายมาก ๆ
ผมได้ลองนอนอ่านหนังสือดูก็รู้สึกว่ามันได้สรีระดีมาก ๆ
อ่านหนังสือได้ยาวเลย และถ้าเบื่อกับการจ้องตัวอักษรบนหน้ากระดาษ
ก็ยังมีวิวภายนอกสวย ๆ ให้ได้พักสายตาครับ
ถัดไปด้านขวา ก็จะเจอประตูทางเข้าบ้าน / มินิบาร์ / ทีวี + DVD ครับ
โถขนมพร้อมต้นทุนในการกินวางอยู่บนตู้เย็นครับ
ด้านล่างก็คือตู้เย็นมินิ ซึ่งบรรจุเครื่องดื่มและของกินเล่นไว้แน่นขนัด
ซึ่งมีต้นทุนในการกินทั้งหมด ยกเว้นน้ำเปล่าตรา “ช้าง” เท่านั้นครับ ที่
“ฟรี” ดื่มเท่าไหร่ก็ได้ ไม่อั้น
เพราะนอกจาก 4 ขวดที่ทางรีสอร์ทแช่เย็นไว้ให้แล้ว ยังมีอีก 4 ขวดที่ไม่ได้แช่วางอยู่ข้างเครื่องชงกาแฟข้างโต๊ะทำงานครับ

ซึ่งผมมองว่าเป็นการเอาใจใส่ของทางรีสอร์ทครับ เพราะลูกค้ามีหลากหลาย
บางท่านชอบน้ำเย็น ๆ แบบผม แต่บางท่านก็ชอบน้ำอุ่น ๆ หรือไม่ได้แช่
โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยสบาย
เมื่อปิดตู้เย็นแล้ว ผมก็รู้สึกว่า
การออกแบบตู้เย็นตัวนี้ใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากการจัดวางที่ลงตัวแล้ว
ผมว่ามันก็ดูเข้ากับทีวีและ DVD ในมุมนี้ได้อย่างลงตัว เพราะมองเผิน ๆ
นึกว่าลำโพงขนาดใหญ่นั่นเอง
ถัดมาทางขวา ก็จะเป็นทีวี + เครื่องเล่น
DVD ครับ ซึ่งทีวีตัวนี้ผมชอบมาก เพราะสามารถหันไปซ้าย – ขวาได้สบาย
ไม่ว่าจะนั่งดูที่โซฟา หรือมานอนดูบนเตียง ก็ดูได้สบาย ๆ ครับ

ส่วนเจ้า DVD ถ้าอยากดูหนัง สามารถไปยืมแผ่นที่ Reception ได้ครับ
แต่ผมไม่ได้ไปยืมมาดูหรอกครับ เพราะเจ้าเครื่องนี่สามารถเล่น USB ได้ด้วย
ผมเลยจับเสียบ USB ด้านหลัง เพื่อฟังเพลงเพราะ ๆ ของคุณ Olivia Ong แทน
จากทีวี เมื่อผมหันไปมอง ก็เห็นห้องน้ำแบบ sexy ด้วย โอ้ววว! ตื่นเต้น
แต่ก่อนจะเดินไปดูห้องน้ำ ขอไปดูหัวเตียงด้านขวาก่อนครับ
นอกจากโคมไฟและสมุดโน้ตแล้ว
เจ้าโทรศัพท์ดูน่าสนใจที่สุดเลย เพราะเป็นโทรศัพท์ยุคเก่าครับ
ซึ่งทางรีสอร์ตก็ได้เขียนวิธีใช้งานไว้ให้ด้วย
ในห้องนี้หมดแล้ว เราไปสำรวจห้องน้ำกันต่อดีกว่าครับ
ก่อนเดินทะลุม่าน แหงนหน้าขึ้นมองก็พบแอร์ทรงสวย
เดินตรงเข้าไปก็จะเจออ่างล้างหน้าและกระจก
มุมใกล้ ๆ
หันมาทางด้านซ้ายมือ ก็พบช่องเก็บเสื้อผ้าและของใช้ ซึ่งทางรีสอร์ตได้มาแขวนเสื้อผ้ารอไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ
ถัดมาก็จะเจอห้องน้ำสำหรับปลดปล่อยความทุกข์ครับ
ภายในครับ
วิวภายนอกเมื่อยามปลดปล่อยทุกข์ครับ
เมื่อหันมามองด้านขวาก็จะเจอภาพนี้ครับ ซึ่งทางรีสอร์ตแนะนำว่า ถ้าคู่สามี-ภรรยายังขวยเขิลกันอยู่ สามารถปิดม่านบังได้ครับ
ผมเดินออกมาเพื่อสำรวจห้องข้าง ๆ ซึ่งก็คือห้องอาบน้ำ Indoor นั่นเอง
ห้องนี้อาบน้ำไป มองต้นไม้ไป
หรือจะมองคู่ของเราที่อาบน้ำอยู่ด้านนอกก็ได้ครับ
เมื่อสำรวจความ sexy ภายในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินออกจากบ้านไปสำรวจด้านนอกบ้าง ว่าจะ sexy ขนาดไหน
ภาพห้องน้ำเมื่อมองจากด้านนอกครับ
ต่อด้วยห้องอาบน้ำกันบ้างครับ
ดอกไม้ที่ปลูกไว้พักสายตาระหว่างอาบน้ำ
เมื่อมองภายนอกได้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว ผมจึงสอบถามกับทางรีสอร์ทถึงความปลอดภัยจากสายตาภายนอก ซึ่งก็ได้คำตอบดังนี้ครับ
1. ไม้ไผ่ที่ล้อมรั้วอยู่นั้น มี 2 ชั้น แถมคั่นกลางด้วยแสลนท์ผ้าใบสีดำสนิทอยู่ตรงกลาง ซึ่งผมวิ่งไปสำรวจดูก็จริงอย่างที่บอกครับ
2. ระยะห่างระหว่างวิลล่าแต่ละหลังมีความห่างกันพอสมควร และช่วงที่ห่างเติมเต็มด้วยต้นไม้แทนตามภาพครับ
เห็นแบบนี้ ก็สบายใจแล้วใช่ไหมครับ แต่อย่านิ่งนอนใจครับ เพราะยังมีบรรดา “ไทยมุง” แอบมองท่านอยู่ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว 55555
อย่างว่าแหล่ะครับ อาบกันสวีทวิ้ดวิ้วขนาดนี้ มันแสดงถึงความหวานกันสุด ๆ ถึงขนาด“ไทยมุง” ขึ้นมากันตรึมเลยทีเดียว
——————–
ส่วนด้านซ้ายมือที่อยู่หลังฝักบัว Rain Shower ก็เป็นปั๊มน้ำครับ ซึ่งทำไม้ ปิดไว้ได้อย่างกลมกลืน
สบู่ที่นี่คือสิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุด เพราะมันเป็นสบู่เจลกลิ่นอโรม่าที่หอมและสดชื่นมากมาย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร
โดยสบู่และยาสระผมกลิ่นเดียวกันจะถูกวางไว้ทุกจุดที่อาบน้ำได้ ทั้งภายใน / ภายนอก และอ่างอาบน้ำ
ซึ่งถ้าอาบ Rain Shower ก็จะวางไว้ด้านขวาข้างประตูทางเข้าบ้านครับ
ซึ่งในขณะที่ผมสำรวจตัวบ้านอยู่
ทางพนักงานก็ยังแนะนำรายละเอียดการใช้งานต่าง ๆ
ภายในบ้านให้ภรรยาผมอยู่นะครับ และเมื่อผมสำรวจเสร็จ
เธอก็อธิบายภรรยาผมเสร็จพอดิบพอดี เธอจึงส่งมอบกุญแจบ้านให้เราเก็บไว้ครับ
กุญแจบอกเลขบ้านชัดเจนครับ จะได้ไม่สับสนเวลากลับเข้ามา
ผมเริ่มรู้สึกเหนียวตัวหลังจากไปเที่ยวกัน
มาทั้งวัน จึงให้พนักงานผสมน้ำในอ่างอาบน้ำไว้ให้ครับ
ซึ่งพนักงานที่นี่บริการดีมาก ๆ และบอกกับเราว่า ถ้าเราไปเที่ยวตอนไหน
ก็โทรแจ้งให้พนักงานเข้ามาผสมน้ำรอไว้ได้เลย จะได้กลับมาลงอ่างได้ทันที
————————–
ระหว่างรอพนักงานผสมน้ำ ผมก็เปิด Notebook
ต่อเข้า Wi-Fi ของทางรีสอร์ตทันทีครับ ซึ่งสะดวกมากมาย
เพราะสามารถเล่นที่ห้องพักได้สบาย ไม่เหมือนกับโรงแรมโยมาที่พักเมื่อคืน
ต้องเดินไปเล่นที่ Lobby เท่านั้นครับ
แต่นั่งอ่านกระทู้ ดูเฟซบุ๊คได้ไม่นาน พนักงานก็ผสมน้ำให้ผมเสร็จเรียบร้อยครับ
ผมยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณ ก่อนจะให้พนักงานปิดประตูบ้านและแขวนป้ายนี้ไว้หน้าบ้านด้วย
ส่วนผมก็ถอดเสื้อผ้าเดินเปลือยกายลงไปแช่น้ำอุ่น ๆ ในอ่างทันทีไม่มีรีรอ
ซึ่ง Bubble Bath ที่ใช้ทำฟองในครั้งนี้คือ ตัวนี้ครับ
ทางพนักงานยังบอกผมว่า จริง ๆ ไม่ต้องเอามาเองก็ได้ เพราะสบู่ที่รีสอร์ทเตรียมให้ สามารถทำฟองได้เช่นกันครับ โอ้ว อะไรจะดีขนาดนี้
————————–
หลังจากแช่น้ำจนได้ที่แล้ว
เมื่อผมขึ้นจากอ่างมาเพื่อจะอาบน้ำจาก Rain Shower อยู่ ๆ
อุณหภูมิในเมืองปายก็ลดต่ำลง จนเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาทันใด
ลองคิดดูสิครับ แก้ผ้าอาบน้ำกลางแจ้งไร้สิ่งใด ๆ ปกคลุมร่างกายท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น มันจะสะใจแค่ไหน
ผมถือเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตเลยนะครับ
———————
หลังแต่งตัวเสร็จก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ซึ่งภรรยาผมเกิดอยากกินอาหารเหนือครับ
เราจึงชวนกันออกไปหาอะไรทานในเมือง เพราะทานเสร็จ จะได้ไปเดินถนนคนเดินต่อ
แต่ก่อนที่จะเดินออกจากประตูบ้าน ก็เห็นมุมนี้ครับ
ซึ่งด้านหลังไม้ไผ่ที่กั้นอยู่ก็เป็นที่วางคอมแอร์นั่นเองครับ รู้สึกประทับใจการจัดวางวิลล่าที่นี่จริง ๆ ครับ
มุมมองเมื่อยืนอยู่หน้าประตูบ้านครับ
ก่อนออกจากบ้านถ่ายภาพภรรยาสักหน่อย
ล็อคบ้านซะ ให้เรียบร้อย
เมื่อมายืนมองบ้านจากภายนอก ก็รู้สึกว่า ขนาดพื้นที่บ้านก็ใหญ่พอดูนะเนี่ย
เรา 2 คนเดินออกมาก่อนจะพ้นเขตที่พัก ก็เจอสารพัดสัตว์เลยครับ
แต่ที่ถูกใจกลับกลายเป็นม้าไม้ 4 ตัวนี้ครับ น่ารักมากเลย
ภรรยาผมดูจะชอบเอามาก เลยขอถ่ายรูปกับม้าไม้สักหน่อย
ผมเลยหยอกเธอหลังถ่ายรูปเสร็จ “น้องเจจ๋า ถ้าพี่จับม้าพวกนี้ไปใส่น้อง March เรา เครื่องจะแรงขึ้นไหม”
“บ้า” น้องเจรีบตอบ ก่อนจะเดินมาตีผมที่ไหล่
——————–
เดินพ้นม้าไม้ก็มาเจอสะพานที่ข้ามมาตอนเข้าที่พักครับ
รีสอร์ตนี้ตกแต่งในสไตล์แอฟริกันครับ จึงไม่แปลกที่จะเห็นของตกแต่งในรูปแบบนี้ทั่วรีสอร์ท
เมื่อเดินออกมาถึงด้านหน้า รถสามล้อของรีสอร์ตก็จอดรอผมอยู่แล้วครับ
ก่อนจะเดินทาง ก็เลยขอถ่ายรูปคู่กับยามที่นี่สักหน่อย
เสร็จแล้ว ผมฝากกุญแจบ้านไว้กับ Reception ก่อนจะกระโดดขึ้นสามล้อ โดยมีจุดหมายคือ “ถนนคนเดิน” นั่นเอง
รถสามล้อมาส่งผมที่สี่แยกปายหนาว
ก่อนจะแจ้งผมว่า ถ้าจะให้รถมารับ ก็ให้ผมโทรไปแจ้ง Reception ได้
และให้ไปยืนรอหน้าร้าน Black Canyon ตรงสี่แยกนั่นแหล่ะ
และเมื่อลงจากรถ ภรรยาผมก็จูงมือผมเข้าร้านที่รถจอดส่งเราพอดิบพอดี
ผมก็ออกจะงงงงเล็ก ๆ ที่ภรรยาเลือกโดยไม่ปรึกษาก่อนเหมือนเคย แต่เมื่อภรรยาเลือกแล้ว ผมย่อมเคารพการตัดสินใจครับ เอาเมนูมาดูซิ
ผมไม่เคยทานอาหารเหนือ เลยมอบหน้าที่ให้ภรรยาจัดการ ส่วนผมก็มาเก็บบรรยากาศร้านอาหารแทนครับ
โต๊ะที่เรานั่งครับ อยู่ติดสี่แยกพอดิบพอดี
นั่งชมวิวรออาหารครับ
ข้าวซอยมาแว้วว
พร้อมเครื่องเคียง
ตามมาด้วยขนมจีนน้ำเงี้ยว
ต่อด้วยเครื่องดื่มโปรดของผม แคนตาลูปปั่น
ส่วนแตงโมปั่นแก้วนี้ของภรรยาครับ
ทานเสร็จแล้ว บอกได้เลยว่าอาหารอร่อยครับ
แต่เผ็ด! ซึ่งส่วนตัวผมไม่ชอบทานเผ็ด ก็เลยไม่ถูกปากอาหารเหนือเท่าไหร่นัก
แต่ถ้าชอบทานเผ็ดกัน แนะนำครับ ว่าอร่อยจริง!
————————-
เมื่อเดินออกมาจากร้าน ผมเลยถามภรรยาทันทีว่า “นึกยังไง เลือกร้านนี้จ๊ะ”
ภรรยาผมตอบว่า “อ้าว ก็ร้านน้องเบียร์ไง ใคร ๆ ก็แนะนำให้ทานร้านนี้”
ผมถึงบางอ้อ ก่อนจะชี้นิ้วให้ภรรยาดูว่า “ร้านน้องเบียร์” นะอยู่ฝั่งตรงข้าม
เมื่อภรรยาผมรู้ว่าตัวเองเข้าผิดร้าน จึงอายม้วนต้วนไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบแก้ตัวว่า “ไม่เป็นไรหรอก ร้านนี้ก็อร่อย”
เธอยิ้มก่อนจะชวนผมเดินเล่นบนถนนคนเดินต่อ
———————————-
อากาศเย็นสบายเหมาะกับการเดินอย่างยิ่ง เรา 2 คนชวนกันเดินไปดูธนาคารยอดฮิตที่ได้ชื่อว่า เก๋ที่สุดในอำเภอปาย
หลังจากนั้นก็เดินกลับมาที่ร้านมิตรไทย เพื่อทำการส่งโปสการ์ดให้กับเพื่อน ๆ ที่อยู่กรุงเทพ (มีใครได้รับบ้าง รายงานตัวด้วยนะครับ)
อุปกรณ์พร้อม!
เลือกลายและเริ่มเขียน ส่วนที่อยู่แอบ Print มารอไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้ว
เมื่อเขียนเสร็จ เราเดินเล่นกันสักพัก แอบสังเกตว่าวันพุธค่อนข้างเงียบเหงากว่าเมื่อวาน อย่างน้อยโรตีชีสเจ้าเมื่อวานก็ยังปิดร้านเลย
เราสองคนเลยเดินไปสั่งเครื่องดื่มจากร้านเค้ก
โกโอเช่นเคยครับ
โดยผมเลือกช็อคโกแลตกล้วยหอมปั่นติดมือมาดูดระหว่างเดินตากอากาศที่เย็นสบาย
ซึ่งถ้าใครไปที่ร้านเค้กโกโอ ผมแนะนำเลยครับว่า ช็อคโกแลตกล้วยหอมปั่น
หรือ Banana Chocolate Milk Shake อร่อยมาก ๆ ครับ สั่งมาได้เลย
สนนราคาก็แก้วละ 75 บาทครับ สูงพอ ๆ กับที่กรุงเทพเลย หุหุ
——————-
ในเมื่อร้านรวงมีน้อย ต่างจากเมื่อวาน
ผมจึงโทรเรียกรถของรีสอร์ตให้มารับ
ซึ่งประทับใจมากกับความรวดเร็วในการมารับ เพราะผมแทบไม่ต้องยืนรอเลย
ต่างกับโรงแรมโยมาที่รอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ
และเชื่อไหมครับ เมื่อกลับถึงบ้านพักแล้ว
ก็มีเจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทยืนรอเปิดประตูบ้านให้เช่นเคย
แถมยังเปิดแอร์เย็นฉ่ำไว้เรียบร้อยแล้ว ผมเข้าบ้านและ Lock ประตูเรียบร้อย
ก็ดึงม่านปิดในทุก ๆ ด้าน ก่อนจะกระโดดขึ้นเตียงนอนที่สุดแสนจะนุ่มนวล
และหลับปุ๋ยไปในทันที
ราตรีสวัสดิ์ครับ
—————————
24 กุมภาพันธ์ 2011
ผมตื่นมาตั้งแต่เช้า
ก็พบว่าอากาศภายนอกเย็นมาก จึงปิดแอร์ และเปิดประตู / หน้าต่างทุกด้าน
ให้ลมเข้า ซึ่งได้ความหนาวเย็นยิ่งกว่าแอร์ซะอีกครับ
แน่นอนละ เย็นสบายแบบนี้
ทำให้ผมหลับปุ๋ยไปอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะลุกขึ้นมาอีกทีตอน 10 โมงเช้า
เพื่ออาบน้ำและออกไปทานอาหารเช้าที่ร้าน Homemade Handmade ทันที
เมื่อผมเดินมาถึงร้านอาหาร
ก็พบว่าทางร้านเตรียมโต๊ะและอาวุธให้ผมเรียบร้อยแล้ว
และดูออกว่าเพิ่งเตรียมเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ ไม่เกิน 2 นาที
เหมือนรู้ว่าผมกำลังจะมา ไม่ใช่วางแช่รอไว้ตั้งแต่เช้า
จากมุมที่ผมนั่งมองไปทางซ้ายก็จะเจอสะพานที่เพิ่งข้ามมาจากบ้านพัก
ด้านหน้าที่เห็นก็จะเป็นโต๊ะไม้ ซึ่งนั่งได้เช่นกันครับ แต่ไม่ใช่เวลานี้ เพราะแดดเริ่มส่องแล้วนั่นเอง
แต่เย็นนี้เสร็จผมแน่นอน เพราะผมได้ Free Dinner ของทางรีสอร์ตด้วย
ซึ่งทางพนักงานก็ให้ผมเดินเลือกโต๊ะที่อยากนั่งได้ตามสบาย เพื่อจองที่ไว้ให้ผมในค่ำคืนนี้
เนื่องจากที่ร้านนี้ จะมีแขกจากที่อื่นมาทาน Dinner ด้วยเช่นกัน
สำหรับอาหารเช้า มีให้เลือกหลากหลายครับ ที่นี่เน้นการบริการจริง ๆ เพราะผมไม่ต้องลุกจากโต๊ะเลย พนักงานจะเดินเสิร์ฟให้เองตลอด
อย่างน้ำส้มคั้นแก้วนี้ ก็ไม่ใช่น้ำส้มกล่องนะครับ เป็นน้ำส้มคั้นจริง ๆ และอร่อยมาก ๆ ซึ่งผมให้เค้าเติมให้ตลอด จนคุ้มเลย
เมื่อได้ฟัง choice จากพนักงานแล้วว่า ต้องการอาหารเช้าแบบอเมริกัน / แบบสวิส หรือ แบบไทย
เราสองคนก็ไม่ลังเลที่จะขออาหารแบบ American Breakfast ทันทีครับ
ในระหว่างรอ ทางรีสอร์ตก็เสิร์ฟขนมปังปิ้งมาให้
ตามมาด้วยกาแฟลาเต้ร้อนของผม
และคาปูชิโน่ร้อนของภรรยา
ต่อเนื่องทันทีด้วย ไข่ดาวของภรรยาแบบไม่สุก
ส่วนของผมเป็นไข่ดาวแบบสุก
อาหารเช้าพร้อมแล้ว ลุย!!
ทานเสร็จแล้ว ทางพนักงานแจ้งว่า เนื่องจากทางร้านกำลังทดลองทำเส้นก๋วยจั๊บเองตามสไตล์ Homemade
จึงขออนุญาตให้เราได้ลองชิมดู และติชมได้ตามอัธยาศัย
ทางร้านมาเสิร์ฟให้เราคนละถ้วย อร่อยมากครับ เส้นเหนียวหนึบน่ากิน เล่นเอามื้อเช้านี้อิ่มยาวไปถึงเที่ยงเลยทีเดียว
——————-
รับประทานเรียบร้อย เรา 2 คนก็บึ่งขึ้นน้อง March และขับออกไปเที่ยวต่อตามโปรแกรมที่วางไว้ทันทีครับ
โดยผมขับรถไปตามเส้น 1095 ย้อนกลับไปเชียงใหม่ โดยจุดหมายคือ กม.88 สะพานประวัติศาสตร์ท่าปายนั่นเอง
มาถึงก็จอดรถไว้ริมถนนตรงนี้
แอบเต๊ะท่าถ่ายรูปกับ March ก่อน
เสร็จแล้วก็เดินมาถ่ายกับสะพานประวัติศาสตร์ครับ

ภรรยาขอบ้าง
ศึกษาประวัติศาสตร์กันก่อน
รูปในอดีต
นี่แหล่ะสะพานประวัติศาสตร์ของจริง

ซึ่งขนานไปกับสะพานปัจจุบันสำหรับให้รถวิ่งข้ามแม่น้ำปาย

เก้าอี้ตัวนี้เป็นมุมถ่ายรูปมหาชนได้อย่างดี เพราะประดับด้วยดอกไม้สีสดใสตัดกับสีสะพานอย่างชัดเจน
Act ท่าถ่ายกับสะพานเสียหน่อย
อีกสัก Act
หลงผิดคิดว่าเป็นไมโครโฟน
ชมวิวแม่น้ำปายกันบ้าง น้ำน้อยดีจริง ๆ
ด้านล่างมีบริการล่องแพด้วย แต่น้ำน้อยแบบนี้ แพเลยเหงา ต้องจอดอยู่อย่างเดียวดาย
เดินไปอีกด้านกันดีกว่าครับ
มาถ่ายคู่กับป้ายสักหน่อย
จากนั้นเดินข้ามถนนมาที่รถก็เจอร้านกาแฟที่ตั้งชื่อได้ดีมากครับ นั่นคือ “คอฟฟี่ที่สะพาน” โดยใช้คำว่า Tea ที่แปลว่า ชา มาเล่นเสียงได้อย่างเหมาะสม
หน้าร้านมีบุรุษไปรษณีย์ยืนทำหน้าหล่ออยู่ เลยเข้าไปถ่ายรูปคู่สักหน่อย
ถ่ายเสร็จก็เลยขอยืมจักรยานพี่เค้าไปขี่เล่น แต่พี่เค้าไม่ตอบแฮะ
และแล้วก็รู้ความลับของพี่เค้าว่า
ครั้งนึงเคยหงุดหงิดด่าชาวบ้านด้วยการยกนิ้วกลางให้
จึงโดนชาวบ้านรุมตัดนิ้วทิ้งไปอย่างน่าสงสาร 55555+
ในเมื่อยืมจักรยานไปขี่ไม่ได้ ผมก็ต้องเดินมาควบน้อง March ไปต่อ โดยขับกลับมาทางอำเภอปายเช่นเดิม และเลี้ยวซ้ายเข้าจอดรถที่นี่เลย
ก่อนจะเดินลงจากรถ ผมสังเกตเห็นฝรั่งคนหนึ่งเดินมองรอบน้อง March และหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ
เมื่อผมลงจากรถ ฝรั่งคนนั้นก็ทักทายผมด้วยคำว่า “Nice Ride Man’
ผมเลยต้องรีบตอบภาษาอังกฤษแต่สำนวนไทยจ๋าทันทีว่า “Thank you very much”
เลยอดปลื้มใจไม่ได้จริง ๆ ที่ฝรั่งก็ยังมาชมความน่ารักของน้อง March เรา
———————-
กลับมาดูสถานที่กันต่อครับ ซึ่งที่นี่ก็คือ “กองแลน” หรือ “ปาย แคนยอน” นั่นเอง
โดยเราต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบน เพื่อชมความงามของปาย แคนยอน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับแกรนด์ แคนยอนที่สหรัฐอเมริกา
ทางขึ้นครับ
มีขั้นบันไดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นทางลาดชันเรียบ ๆ ต้องเดินเกาะราวไม้ไป
“สู้ตายค่ะ”
สูงแค่ไหน เราก็ไม่กลัว เพราะทางเดินง่ายมาก เพียงแต่ไกลนิดนึงและต้องใช้แรงในการเดินขึ้นนั่นเอง
ถึงแล้ววว เอ่อ…เปลี่ยนป้ายได้แล้วมั้งครับ
เจอป้ายนี้อีกแล้ว
ซึ่งเราสามารถเดินไปชมวิวได้นะครับ แต่ต้องระวังมาก ๆ เพราะทางบางช่วงแคบมากครับ
ลองเดินไปดู เจอภาพนี้ อดคิดไม่ได้ว่า ใครไปยืนเต๊ะท่าตรงนั้นได้ คงเท่น่าดู
ในภาพดูไม่เสียวเลยครับ แต่สถานที่จริงบอกได้เลย ใจสั่นมาก ๆ
เพราะถ้าพลาดพลั้งแม้แต่นิดเดียว ไม่อยากจะคิดเลยครับ
เก้าอี้นั่งชมวิว
ลองเดินดูไหมครับ
เห็นฝรั่งหลายคนเดินกันยาวเลย แต่ผมไม่เสี่ยงดีกว่า บรึ๊ยยยยย
ลองเดินมาด้านขวา ก็มีทางเดินเช่นกันครับ อันนี้ดูจะเสี่ยงน้อยกว่าด้านซ้าย
เดินได้สบายใจกว่า
บางช่วงทางกว้างมากมาย
มองไปไกล ๆ มีสะพานด้วย
แสดงว่าน่าจะเดินได้เป็นวงกลมมาบรรจบกับทางด้านซ้ายแน่ ๆ เลยครับ
แต่ผมไม่เดินละ เดินขึ้นมาดูภาพจากมุมสูงดีกว่า
สักพัก ก็มีนักท่องเที่ยวมากันตรึม
มีศาลานั่งหลบแดดด้วย
ส่วนผมเริ่มหิวแล้ว เดินลงกลับไปที่รถดีกว่า
เย้ จะถึงแล้ว
———————-
จากนั้น เราสองคนก็ขับรถกลับมาจอดที่รีสอร์ท และให้รถของรีสอร์ทขับไปส่งที่สี่แยกปายหนาวเช่นเดิม
เมื่อลงจากรถ เราสองคนชวนกันเดินหาของกิน แต่ด้วยความที่ยังไม่เย็นมาก ร้านรวงต่าง ๆ จึงไม่พร้อมสักเท่าไหร่นัก
เดินไปเดินมาถึงแม่น้ำปายเลยแวะชมวิวกันก่อน มองซ้าย
มองขวา
ผมใครละนั่น ยาวสลวยสวยเก๋เชียว
สุดท้ายมาได้ร้านนี้ครับ
ด้วยความหิวเลยสั่งอาหารตามชื่อร้าน
จัดกันไปคนละจาน รองท้อง ก่อนกลับไปดินเนอร์ที่รีสอร์ท
ผลออกมาไม่อร่อยอย่างที่คิดครับ แค่พอทานได้เท่านั้นเอง
ซึ่งเมื่อชำระค่าเสียหายเรียบร้อยแล้ว ผมก็โทรเรียกรถของรีสอร์ทมารับที่สี่แยกปายหนาวเช่นเคย
พร้อมสั่งให้ทางรีสอร์ทเตรียมน้ำในอ่างพร้อมใส่ Bubble Bath ไว้ให้ผมด้วย
รถมารับเรา 2 คนเร็วเช่นเดิมครับ และเมื่อกลับถึงบ้านพัก ก็มีพนักงานรอเปิดประตูให้เช่นเคย รวมถึง เตียงก็ถูกจัดให้ใหม่เรียบร้อยครับ
พร้อมกระต่ายหน้ามนมานอนรอต้อนรับอีกแล้ว
ขณะกำลังเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเดินไปอาบน้ำ ก็พบว่า ผ้าเช็ดตัวได้ถูกเปลี่ยนมาให้ใหม่เช่นกันครับ
ถือว่าการบริการที่นี่เยี่ยมยอดจริง ๆ ครับ
————————
หลังจากแช่อ่างและอาบน้ำเรียบร้อยจนสบายตัวแล้ว ผมก็จูงมือภรรยาเดินไปดินเนอร์ที่ร้าน Homemade Handmade
ตามที่นัดหมายไว้ครับ
ที่นั่งมีให้เลือกหลากหลาย
ส่วนผมไม่ต้องเลือก เพราะจับจองไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว
พนักงานนำเมนูอาหารมาให้เลือกตาม Set ครับ
ซึ่งเป็นอาหารไทยทั้งหมด
แอบเห็นราคาในเมนูแล้วก็อยากจะร้องกรี๊ดที่เราได้มื้อนี้ฟรี!
เพราะราคามันสูงจริง ๆ ครับ
ภรรยาผมขอสองตลอด
วิวข้างโต๊ะครับ
ระหว่างรออาหารก็ถ่ายรูปกันเล่น ๆ
จุดเทียนเพิ่มความโรแมนติค
บรรยากาศโต๊ะข้าง ๆ
บรรยากาศร้าน Homemade Handmade ยามค่ำคืน
อาหารมาแว้ววว จัดไปยาว ๆ
พอดีช่วงนี้ได้ Happy Hour สั่งค็อกเทล 2
แก้ว ได้ฟรี 1 แก้ว ซึ่งตรงนี้เสียค่าใช้จ่ายต่างหาก
ผมก็เลยจัดไปเพราะอยากฉลองอยู่แล้ว singapore sling ของภรรยา
Margarita ของผม
อาหารเรียงรายเต็มโต๊ะ
ลุยกันเลยดีกว่า
อาหารอร่อยมาก ๆ ครับ ไม่ผิดหวังเลย เมื่อเราทานเสร็จ ทางร้านรีบเสิร์ฟของหวานต่อทันทีครับ
พอดีกับที่เครื่องดื่มผมหมดพอดี เลยสั่ง
Cocktail ที่ได้ฟรีอีก 1 แก้วมา โดยตัดสินใจลองอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยลอง
นั่นคือ Island Iced Tea
ดูหน้าตาแบบนี้ ก็คล้าย ๆ Iced tea ชามะนาวดีใช่ไหมครับ แต่ป๋าเบียร์ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเค้าเลย ยกซด ยกซดอย่างกับชามะนาว
ผลออกมาคือ “มึน” ทันทีครับ รู้สึกโลกมันหมุน ๆ ชอบกล
ภรรยาเห็นท่าไม่ดี จึงเรียกพนักงานมาถามว่า Island Iced Tea นี่มันแรงหรือเปล่า?
คำตอบที่ผมได้ยินแว่ว ๆ คือ “แรงสุดในร้านครับ เพราะผสมเหล้าถึง 5 ชนิด”
โอ้วว ผู้ชายที่ไม่เคยแตะเหล้าอย่างผม เริ่มเข้าใจแล้วครับ ว่า อาการมึนเมา มันรู้สึกอย่างไร!
——————–
หลังจากดื่มจนหมด ภรรยาผมจึงประคองผมกลับบ้านพัก วินาทีนั้นเหมือนจะเดินไม่ค่อยตรงยังไงไม่รู้….
เมื่อเดินไปถึงบ้านพัก
เราก็พบพนักงานเปิดประตูรอต้อนรับที่หน้าบ้านเช่นเคย
แต่คราวนี้ไม่ได้เดินเข้าบ้านมาเพียงเรา 2 คน แต่พนักงานเดินเข้ามาด้วย
เพื่อช่วยประคองผมให้เข้าไปในบ้านให้ได้
เมื่อเข้ามาถึงในบ้าน
ก็พบว่าในบ้านไม่เปิดไฟสว่างเช่นเคย เอ๊ะ หรือผมจะเมาจนมองอะไรไม่ออก
แต่แล้วเราก็เจอ surprise ของทางรีสอร์ตครับ
นอกจากเทียนยังมีอะไรวางที่เตียงอีก 2 อัน
ช็อคโกแลตเฟอร์โรโร่ของโปรดของเรานั่นเองครับ
จริง ๆ วินาทีนั้นผมไม่ทันได้เซอร์พ้ง เซอร์ไพร้ส์มากมายหรอกครับ เพราะมึนเมาขนาดนั้น มารู้ตัวจริง ๆ อีกทีก็ยามเช้าครับ
ซึ่งแน่นอน ก็เป็นเช้าวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่นี่ รวมถึงเมืองปายด้วย เพราะวันนี้ผมต้องเดินทางไปพักที่เชียงใหม่นั่นเอง
———————
หลังจากอาบน้ำเสร็จ
ก็เดินมาทานอาหารเช้าเช่นเคยครับ ซึ่งผมยังสั่งเหมือนเดิมทุกประการ
ยกเว้นกาแฟลาเต้ ที่วันนี้ขอเปลี่ยนเป็นโกโก้ร้อนที่อร่อยไม่แพ้กันครับ
ส่วนภรรยาวันนี้ขอลองอาหารเช้าแบบสวิสหรือมูสลี่นั่นเองครับ
หลังจากอิ่มหนำสำราญเราก็เดินมาเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าที่ห้องด้วยความเหงาหงอยครับ
ถึงเวลานี้ ผมกับภรรยาตอบตัวเองได้ทันที
ว่า ที่รู้สึกอาลัย คงไม่ใช่เมืองปาย
แต่น่าจะเป็นรีสอร์ตแห่งนี้ที่มีชื่อว่า ปาย ไอส์แลนด์มากกว่า
ด้วยวิลล่าที่แสนสบาย + กับการบริการขั้นสุดยอดที่ดูแลเอาใจใส่ลูกค้าสุด ๆ ทำให้ผมกับภรรยาหลงรักรีสอร์ตแห่งนี้ไปโดยปริยาย…
—————————–
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อถึงเวลา
Check Out ผมก็ต้องโทรเรียกพนักงานมาช่วยขนกระเป๋ากลับไปไว้ที่รถ
ก่อนจะโบกมือลา Island Suite 4 ด้วยความอาลัย
และสัญญาไว้ว่าจะกลับมาอีกในช่วงหน้าหนาว
ในขณะที่เดินออกมา พนักงานที่ยืนอยู่ตามจุดทุกคน ต่างก็ยกมือสวัสดี และขอบคุณเรากันไปตลอดทาง
เมื่อเดินมาถึง Reception
ผมให้ภรรยาไปจะจัดการเรื่อง Check Out ส่วนตัวเองเดินมาสำรวจอีกด้านของ
Reception ก็พบตู้โชว์สินค้าที่ระลึกของทางรีสอร์ท
ผมเปิดตู้ดู ก็พบสบู่กลิ่นโปรดวางขายอยู่
และด้วยความที่ติดอกติดใจเจ้าสบู่ตัวนี้มาก
จึงอดไม่ได้ที่จะซื้อกลับมาใช้ที่บ้าน แม้ราคาจะสูงเหลือเกิน
ซึ่งทางพนักงานเองก็บอกกับผมว่า ปกติไม่มีความคิดจะจำหน่ายเลย แต่ด้วยความที่มีลูกค้าถามหากันมากมายด้วยความติดใจ รีสอร์ทเลย….จัดให้
เมื่อ Check out เรียบร้อย เราสองคนก็โบกมือลารีสอร์ท โดยทางรีสอร์ทได้มอบของที่ระลึกเป็นเทียนหอมอโรม่ามาให้เราทั้งสองคนด้วย
——————-
จากนั้น ผมได้ไปแวะซื้อกาแฟที่ถนนคนเดิน
ปกติถ้าช่วงเย็นจะนำรถเข้ามาไม่ได้ครับ
แต่ในเวลากลางวันก็เลยขับเข้ามาได้สบายหน่อย แต่ต้องระวัง เพราะเป็นทาง One
Way นะคร้าบบ
จอดตรงนี้แหล่ะ
ได้ยินชื่อเสียงร้าน All About Coffee
นี้ก่อนจะเดินทางมาปายแล้ว แต่เค้าจะปิดช่วงเย็น เลยไม่ได้ชิมสักที ไหน ๆ
จะกลับแล้ว ขอมาแวะชิมก่อนกลับสักหน่อย
ร้านค่อนข้างเล็ก ถ้าไม่สังเกต ก็มองแทบไม่เห็น
บรรยากาศภายในร้าน ขายความอาร์ตตามเคย
เมนูเครื่องดื่ม ซึ่งหน้าปกได้บรรยายประวัติความเป็นมา
ผมสั่งคาปูชิโน่เย็นมาทาน ด้วยสนนราคาที่แพงเอาการ ซึ่งผมกับภรรยาลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า “ไม่อร่อย”ครับ บอกตรง ๆ เสียดายเงินครับ
ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะการชงด้วยน้ำเชื่อมแทนนมข้นในสูตรของเค้า เราสองคนเลยไม่“โดน”ใจนั่นเองครับ
——————
จากนั้นผมก็ขับรถมาเติมน้ำมันที่ปั๊ม PTT ในอำเภอปายครับ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ข้อมูลการเติมน้ำมัน
- ปั๊ม PTT
- ระยะทางที่วิ่งมาทั้งหมดหลังจากเติมเต็มถังครั้งก่อน (Trip B) = 457.7 กิโลเมตร
- น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ราคาลิตรละ 37.53 บาท (แพงมากกกกกกกก )
- จ่ายค่าน้ำมันไป 1,180 บาทถ้วน
- เท่ากับเติมน้ำมันกลับจนเต็มถัง 31.44 ลิตร
- คำนวณจริงได้อัตราสิ้นเปลือง 14.56 กิโลเมตร/ลิตร
(เอาจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งได้จริงตั้ง แล้วหารด้วยจำนวนลิตรที่เติมกลับ หรือ 457.7 / 31.44)
เมื่อเติมน้ำมันเสร็จ ผมปล่อย Trip A เอาไว้เช่นเดิม
เพราะต้องการจับระยะทางทั้งหมดของทริปนี้ ซึ่งตอนนี้ทะยานมาที่ 914.1
เรียบร้อยแล้ว
และนำ Trip B มา Reset ใหม่ เพื่อจับระยะทางของน้ำมันที่เพิ่งเติมว่าจะวิ่งได้กี่กิโล ก่อนจะเติมครั้งต่อไป
—————-
เติมน้ำมันเสร็จ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปกับร้านกาแฟชื่อดังที่สุดในปายเลย ก็เลยต้องแวะสักกะหน่อย
ถ่ายรถก่อนแล้วกัน อิอิ
แจมด้วย
บ้านหลังนี้น่าอยู่จริง ๆ ชอบ ๆ
ตามมาด้วยมุมมหาชน
ถ่ายกับหลักกิโลสักหน่อย
หลักกิโลของจริงกับของปลอม
ฝั่งตรงข้ามมีคนแนะนำให้มาทานขาหมูด้วย แต่คงหมดสิทธิแล้ว ขอตัวลาอำเภอปายจริงจังเสียที